เอรอสก้าวช้าๆ เข้าหาชายหนุ่มที่นอนนิ่งกับพื้น กลิ่นอับชื้นผสมเลือดและเหงื่อทำให้บรรยากาศในห้องแคบยิ่งกดดัน ดวงตาสำรวจไปทั่วร่างที่อ่อนแรงจนแทบไม่เหลือเค้าความมั่นใจในอดีต แขนและขาเต็มไปด้วยรอยช้ำและแผลที่บ่งบอกถึงการทรมานอย่างแสนสาหัส
เขานั่งลงข้างๆ สัมผัสชีพจรที่เต้นแผ่วเบา ความเงียบรอบตัวกลับทำให้เสียงหัวใจของเขาดังก้อง เขาเคยเจอชายคนนี้ที่ในที่ทำงานมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นในสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้มาก่อน
“นี่มัน... เกิดอะไรขึ้น?” เขาพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา จนแทบไม่มีใครได้ยิน
บาดแผลบนร่างสะท้อนถึงความทรมานทั้งกายและใจ ร่างกายซูบผอมจนเห็นโครงกระดูกชัดเจน ราวกับขาดอาหารมานาน รอบตัวมีเพียงกำแพงหินที่ถูกปิดตายอย่างเร่งรีบ ไร้หน้าต่างหรือทางออกอื่น
สายลมบางเบาโชยมาจากกระดุมข้อมือที่ตกหล่น เขาหยิบมันขึ้นมาดู และทันทีที่สัมผัส พลังเวทที่คุ้นเคยก็แผ่ซ่านออกมา
“เอเลน่า...” เขาพึมพำ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน รีริคชิ้นนี้บรรจุพลังเวทที่เธอฝากไว้ราวกับสัญลักษณ์แห่งความห่วงใย แต่ในสถานที่อับมิดเช่นนี้ สายใยนั้นไม่อาจส่งสัญญาณไปถึง
เขาจับมือของชายที่นอนอยู่ตรงหน้า เพื่อถ่ายพลังเวทย์ให้ช่วยฟื้นฟูร่างกาย แม้จะเป็นเหมือนการเทน้ำลงไปในเหยือกที่ก้นแตกแล้ว แต่มันก็ยังพอเยียวยาความเจ็บปวดของชายตรงหน้าในช่วงเวลาสุดท้ายของชายตรงหน้าได้
หลังถ่ายเทพลังเวทเสร็จ เขาก็เฝ้าดูอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเปลือกตาของร่างตรงหน้าค่อยๆกระพริบตอบสนอง ร่างที่นอนนิ่งเริ่มขยับเล็กน้อย
“เอรอส…ใช่ไหม?” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ทำให้เขาชะงัก สายตาเปลี่ยนไปด้วยความสงสัย—ชายคนนี้จำเขาได้อย่างไร ทั้งที่จอนนี้เขายังไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิมเลย
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นมองตรงมา แม้ร่างกายยังอ่อนแรง แต่ประกายบางอย่างในดวงตากลับสื่อความหมายที่ลึกซึ้งเกินจะบรรยาย ราวกับว่าเห็นแสงสว่างสุดท้ายของชีวิต
ดวงตาสีแดงหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่สบตากับร่างตรงหน้า ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ความสงสัยก็ยังแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น
ร่างตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมองเขา แม้ร่างกายจะอ่อนล้าจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง แต่ดวงตาสีฟ้ากลับฉายแววเจิดจ้า ราวกับเก็บซ่อนคำพูดนับพันที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย แสงสีฟ้าค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากดวงตาคู่นั้น เงียบงันแต่หนักแน่น ก่อนที่เขาจะทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ความทรงจำของชายตรงหน้าก็ถาโถมเข้าสู่จิตใจของเขา—ชัดเจน รวดเร็ว และราวกับไร้จุดจบ
ทุกสิ่งรอบตัวค่อยๆเลือนหาย ความเป็นจริงถูกแทนที่ด้วยภาพแห่งอดีตที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ราวกับเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เฝ้าดู แต่กำลังเป็นชายตรงหน้าจริงๆ ความเจ็บปวด ความหวัง และความสิ้นหวังที่ชายตรงหน้าเคยแบกรับทั้งหมด ไหลบ่ามาสู่หัวใจของเขาในชั่วพริบตาเดียว โลกเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงของความทรงจำที่ดังก้องในหัวเขาอย่างชัดเจน...
ในวัยเด็ก อาร์วินเติบโตมาท่ามกลางตระกูลที่เกือบล่มสลายหลังสงคราม การสูญเสียผู้นำทำให้เขาต้องรับหน้าที่ดูแลทุกอย่างในฐานะหัวหน้าตระกูลคนใหม่ แม้จะยังเป็นเพียงเด็ก แต่เขาจำต้องแบกรับความหวังของผู้คน พร้อมทั้งแรงกดดันจากตระกูลคู่แข่งที่พร้อมจะฉวยโอกาสทำลายทุกสิ่งที่เหลืออยู่
คืนหนึ่ง ขณะที่เด็กน้อยกำลังเดินผ่านตรอกมืดในเมืองเงียบสงัด หลังจากที่แอบกลับมาจากการทำงานพิเศษ เขาเหลือบเห็นเด็กสาวในชุดหรูหรากำลังถูกชายปริศนาฉุดกระชากด้วยความรุนแรง เสียงร้องไห้ของเธอกรีดแทงลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
ความกลัวกัดกินจิตใจแต่ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ เด็กน้อยร่ายเวทย์เสริมแกร่งให้ร่างกาย แม้ว่าร่างกายในตอนนั้นจะยังทำให้เขาสามารถใช้เวทย์นี้ได้เพียงครั้งเดียวก็ตาม แต่เขาก็พุ่งเข้าไปหาเป้าหมายโดยไม่ลังเล คทาในมือฟาดลงใส่ชายคนนั้นจนเขาล้มลงกับพื้น
ร่างของชายปริศนาทรุดฮวบลง พลังเวทย์ถูกใช้จนหมดสิ้น หัวใจเต้นรัวแข่งกับความอ่อนล้าที่เข้าครอบงำ ความโล่งใจแทรกเข้ามาเพียงชั่ววินาที แต่ทันใดนั้น เด็กน้อยก็สังเกตเห็นเงาร่างอีกคนในมุมมืด ชายผิวคล้ำ ผมสีขาวเทา รูปร่างกำยำ เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่จิตวิญญาณกลับแตกต่างจากสิ่งที่เห็น—วิญญาณที่ดูเยาว์วัยกับรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขาม—ทำให้เด็กน้อยตกอยู่ในความสับสน
แม้จะอ่อนล้า แต่เด็กน้อยก็ยังยกคทาขึ้นเตรียมพร้อมรับมือ ชายคนนั้นไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงจ้องมองเขาเงียบๆ ก่อนจะถอยหลังหายลับไปในเงามืด ทิ้งไว้เพียงคำถามมากมายในใจ ใครกันที่จ้องมองเขาในความมืด? และทำไมดวงตานั้นถึงดูเหมือนกำลังแบกรับบางสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้?
จนกระทั่งในภายหลัง ความจริงก็ปรากฏขึ้น เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นถูกขับไล่ออกจากตระกูลอย่างไร้ความปราณี ความเข้าใจผิดที่เคยมีทั้งหมดก็ถูกลบออกไปทันที
หลังจากเหตุการณ์นั้น เด็กน้อยที่ได้ช่วยชีวิตลูกสาวของตระกูลใหญ่โดยบังเอิญ ก็ได้หมั้นหมายกับเธออย่างเป็นทางการ การหมั้นครั้งนั้นทำให้ตระกูลของเธอเข้ามาช่วยสนับสนุนตระกูลของเขา จนสถานการณ์ของตระกูลค่อยๆดีขึ้น แต่สิ่งที่แลกมากลับเป็นความรู้สึกผิดที่เด็กน้อยไม่อาจลืมลงได้
เด็กสาวในตอนนั้นเข้าใจมาตลอดว่าคู่หมั้นคนก่อนหนีเอาชีวิตรอดไปคนเดียว แต่ความจริงที่รู้ กลับแตกต่างออกไป เขาไม่ได้ทิ้งเธอ แต่ล่อมือสังหารคนอื่นๆไปจัดการต่างหาก แม้มันจะผิดแผน เพราะดันมีคนนึงไม่ได้ตามเขาไปด้วยก็ตาม
แต่เขาก็ไม่ได้บอกความจริงข้อนี้กับเธอ เพราะคิดว่ามันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กสาวลง รวมถึงตระกูลของเขา ก็ไม่อาจขาดความช่วยเหลือจากตระกูลของเธอได้ ความกลัวที่จะสูญเสียทุกอย่าง ทำให้เขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอด ไม่กล้าที่พูดออกไป
“เอรอส…” เสียงชายตรงหน้าเบาราวกระซิบ ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ ในความแผ่วเบานั้นกลับแฝงไปด้วยความเสียใจเอาไว้
เอรอสขมวดคิ้ว หัวใจบีบตัวอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองถูกเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้น สายตาของเขามองลงไปที่ชายตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งกร้าว ทว่าบัดนี้กลับสั่นไหวอย่างไม่น่าเชื่อ
ลมหายใจของเขาสะดุดลง รู้สึกถึงความหนักอึ้งที่กดทับลงในอก มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบโยน แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ เขาทำได้เพียงจ้องมองชายตรงหน้า ราวกับถูกสายตาของอีกฝ่ายตรึงเอาไว้
แววตาของเขาสั่นไหวเต็มไปด้วยความอ้อนวอน ดั่งเปลวเทียนใกล้มอดที่พยายามสู้กับสายลมสุดแรง แววตานั้นไม่ได้มีเพียงความหวัง แต่ยังแบกรับคำขอร้องครั้งสุดท้าย ความหวังสุดท้ายที่จะผลักภาระหนักอึ้งไปยังคนตรงหน้า
ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ขณะที่เขาใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่เงยหน้ามองคนตรงหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความสำนึกผิด "เอรอส..." เสียงแผ่วเบาเรียกชื่อเขา ดังก้องในบรรยากาศที่เงียบงัน
"ฉันรู้ว่า...ฉันไม่มีสิทธิ์...แต่ได้โปรด..." เขาไอออกมา เลือดสีแดงเข้มไหลออกจากริมฝีปาก แต่เขายังคงฝืนพูดต่อแม้ลมหายใจจะรวยริน
"ช่วยเอเลน่า...และปกป้องตระกูลของเรา...อย่าให้มันจบสิ้นลงเพราะฉัน..."
สายตาของเขาเบิกกว้าง ราวกับกำลังกลัวความจริงที่เลี่ยงไม่ได้
"ถ้าฉันตาย...แล้วเรื่องนี้ถูกเปิดเผย...ไม่ใช่แค่ตระกูลฉันที่จะจบสิ้น...ตระกูลของเธอ...ของเอเลน่า...ก็จะพังไปด้วย..."
มือที่สั่นเทายกขึ้นเหมือนจะคว้าอะไรบางอย่าง ก่อนจะร่วงลงข้างกาย
"ฉันรู้ว่าฉันมันขี้ขลาด...ฉันไม่ควรจะขออะไรจากนาย..." เขาสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยคำสุดท้าย น้ำเสียงทั้งอ้อนวอนและเจ็บปวด "แต่ได้โปรด…ปกป้องพวกเขา...แทนฉัน..."
ดวงตาของอาร์วินเริ่มพร่ามัว เขาปล่อยลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา รอคำตอบที่เขาอาจไม่มีโอกาสได้รับ
ถ้อยคำแผ่วเบานั้นคล้ายละอองลม แต่กลับแทรกซึมลึกลงในหัวใจอีกฝ่าย ราวกับมีดปลายแหลมที่ฝังลึก ไม่อาจดึงออกได้ง่ายๆ ความรู้สึกเดือดพล่านที่ไม่รู้ว่าคือความโกรธ ความเจ็บ หรือความหวาดกลัว บีบแน่นในอกจนเขาหายใจไม่ออก แต่สำหรับเขา...นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะตอบรับเลย
ในใจลึกๆ เขาโกรธ—โกรธที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตระกูลทอดทิ้งเหมือนขยะไร้ค่า โกรธที่แม้แต่เธอ...คนที่เขาเคยเชื่อมั่น ก็ยังจะขับไล่ออกไป แล้วตอนนี้เล่า? ทำไมเขาต้องกลับไป? ทำไมภาระนี้ถึงต้องตกมาที่เขา ทั้งๆที่พวกเขาเป็นคนผลักเขาออกมาเองแท้ๆ
เขาควรจะปฏิเสธ—มันเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ เขาไม่มีเหตุผลที่จะกลับไป ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาต้องยอมก้าวเท้ากลับไปสู่ตระกูลนั้นอีก แต่สายตาที่จ้องมาของอีกฝ่ายกลับทำให้คำว่า "ปฏิเสธ" ติดอยู่แค่ปลายลิ้น เขาทำได้เพียงนิ่งงัน ความลังเลค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาแทนที่
แต่หากใช้เหตุผลล่ะก็ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ปลอดภัยเอาซ่ะเลย ตัวตนของ เอรอส...ไม่รู้ว่าหอคอยได้ทำอะไรลงไปบ้าง และถ้าต้องออกไปจากที่นี่โดยใช้ตัวตนของ "จอมเชือด" ผลที่ตามมาย่อมไม่ใช่เรื่องดี มันเสี่ยงเกินไป—อันตรายเกินไป แถมยังเสี่ยงที่จะเปิดเผยพลังที่เขาพยายามซ่อนเร้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของอาร์วินสำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยให้ตายลงไปได้ ตระกูลวัลธอเรนคือสมดุลของอำนาจ หากมันพังทลาย ตระกูลที่เหลือจะฉวยโอกาสนี้สร้างอิทธิพลมากขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เขาวางแผนไว้จะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และกระทบต่อเป้าหมายระยะยาวของเขา
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึกพยายามเรียกสติกลับคืนมา ทั้งความโกรธ ความลังเล และความกดดันถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นที่ไม่มีวันสงบ เขาควรจะเดินจากไป ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง... แต่เมื่อเปิดตาขึ้นมาสบกับแววตาคู่นั้นอีกครั้ง เขากลับพบว่ามันไม่ง่ายเลย—ไม่ง่ายเลยที่จะปล่อยวาง
ดวงตาที่เคยสับสนกลับแน่วแน่ขึ้น เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ในใจลึกๆเขายังเป็นห่วงเธออยู่ แม้ว่่าในอนาคตเขาอาจจะต้องเสียใจกับทางเลือกนี้ก็ตาม
"ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เอง" เขาเอ่ยออกมาในที่สุด น้ำเสียงนั้นแม้จะแข็งกร้าว แต่มันซ่อนความรู้สึกภายในที่บีบคั้นเอาไว้ ความกลัวและภาระหนักที่เขารับรู้ได้ชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางหันหลังกลับไปอีกแล้ว
ชายตรงหน้ามองเขาด้วยสายตาที่อ่อนแรง แต่ในแววตานั้นกลับมีความสงบเสงี่ยมปรากฏขึ้น ราวกับว่าเขาได้ปล่อยวางสิ่งที่แบกไว้มาอย่างยาวนาน เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อยๆปิดลง ลมหายใจที่เหลือน้อยนิดค่อยๆ หยุดลงเช่นเดียวกับแสงสุดท้ายในดวงตาของเขา
เขานั่งนิ่ง เสียงคำขอสุดท้ายของชายตรงหน้ายังดังก้องอยู่ในใจ ร่างของอาร์วินยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า เขามองมันด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แต่ภายในใจเขารู้ดี—นี่คือสิ่งที่ต้องทำ
ในตอนนั้น หมอกสีดำค่อยๆคืบคลานออกจากร่างกายของเขา ไหลเลื้อยไปตามพื้นหินอย่างเงียบงัน ราวกับสิ่งมีชีวิตที่หล่อหลอมจากความมืดล้วนๆ มันเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ไม่แน่ชัด—บางคราวคล้ายเงาที่คืบคลานเพื่อโอบล้อม บางครั้งกลับเหมือนมือที่พยายามจะฉุดรั้งทุกสิ่งเข้าสู่ห้วงลึก
หมอกนั้นแผ่ปกคลุมระหว่างพวกเขาทั้งสอง กลืนกินพวกเขาจนเห็นแต่เงาที่เลือนราง ลมหายใจสุดท้ายเลือนหายไปพร้อมกับเงาความมืด ทุกสิ่งถูกดูดกลืนเข้าหาความเงียบงันรอบตัว ราวกับความว่างเปล่าที่ไร้ที่สิ้นสุด
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.