เอรอสยังคงก้าวยาวไปตามถนนสายที่คุ้นเคย พลางคิดในใจถึงอำนาจและผู้ทรงอิทธิพลที่มีบทบาทครอบงำเมืองนี้ รู้ดีว่าเบื้องหลังความสงบสุขที่เห็นจากภายนอก เมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสำคัญสามตระกูลใหญ่ ซึ่งแต่ละตระกูลมีอิทธิพลและอำนาจแตกต่างกันไป และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเมือง
อันดับแรก ตระกูลวัลธอเรน ตระกูลผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด แม้อำนาจของพวกเขาจะไม่รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งในอดีต แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากและค้ำจุนเมืองนี้ไว้ ตระกูลนี้สืบทอดพลังแห่งสายลมมาเป็นเวลานาน พลังที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การควบคุมธรรมชาติ แต่ยังแฝงด้วยการเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณและความสง่างามบางอย่างที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วัลธอเรนเป็นตระกูลที่เคยปกครองเมืองด้วยความสงบและยุติธรรม แต่เหตุการณ์ในอดีตได้สั่นคลอนอำนาจและทำให้ฐานอำนาจของตระกูลนี้อ่อนแอลงไปเล็กน้อย กระนั้นพวกเขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่ และได้รับการยอมรับในฐานะผู้ครองอำนาจอันดับหนึ่ง
จากนั้นก็เป็น ตระกูลดราโกร์น ตระกูลที่มีเชื้อสายของมังกรโบราณอันเก่าแก่ บุคคลในตระกูลดราโกร์นมีเอกลักษณ์ชัดเจน ผมสีแดงดุจเปลวเพลิงที่เป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ พวกเขาได้รับพลังอันร้อนแรงของไฟที่สืบทอดจากมังกรในอดีต พลังนี้ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อการต่อสู้ แต่ยังเป็นพลังที่แสดงถึงการปกครองและความแข็งแกร่งในเมือง ดราโกร์นเป็นตระกูลที่มีอำนาจรองจากวัลธอเรน และแม้ไม่ใช่ผู้นำของเมือง แต่ความรุนแรงและศักดิ์ศรีของพวกเขาเป็นที่ยอมรับและยำเกรง
ท้ายสุดคือ ตระกูลแบล็คการ์ด ตระกูลที่ถือครองอำนาจทางทหาร มีหน้าที่ในการรักษาความสงบและความปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกเมือง พวกเขารับผิดชอบจัดการกองกำลังทหารที่ครอบคลุมพื้นที่กว้าง รวมถึงกองกำลังทหารรับจ้างที่พร้อมจะรับมือกับภัยคุกคามจากภายนอก
ในความจริงแล้ว การปกครองของแบล็คการ์ดไม่ได้รับความชื่นชมจากประชาชนมากนัก ความเข้มงวดและเด็ดขาดที่พวกเขาบังคับใช้กลับทำให้คนในเมืองรู้สึกถูกควบคุมมากกว่าปกป้อง ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสายตาจับจ้องและอำนาจที่พร้อมจะยับยั้งทุกการเคลื่อนไหวที่อาจเป็นภัย การจัดแถวลาดตระเวนที่เข้มงวดและการมีอาวุธครบมือของกองกำลัง ทำให้คนในเมืองรู้สึกอึดอัดและหวาดเกรง มากกว่าที่จะรู้สึกถึงความปลอดภัยจากพวกเขา
แบล็คการ์ดเป็นกำลังที่สำคัญในการค้ำจุนเมืองก็จริง แต่พวกเขามักสร้างความรู้สึกเหมือนเป็น “ผู้เฝ้าดู” มากกว่าเป็น “ผู้ปกป้อง”
เอรอสที่ยังเดินทอดน่องอยู่บนถนน สายตาพลันสะดุดกับบางสิ่งเมื่อเห็นเงาร่างของใครบางคนในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์ยามเช้า เขาเหลือบตาขึ้นมองด้วยท่าทีเฉยชาเมื่อเห็นเงาร่างของหญิงสาวในชุดเกราะสีเงินบริสุทธิ์ที่โดดเด่นอยู่ตรงมุมถนน เธอยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้สวมหมวก เปิดเผยใบหน้าที่อ่อนเยาว์และมั่นคง เธอคือ เอเลน่า อัศวินหญิงแห่งเมือง ผมสีทองอ่อนของเธอเรียบลื่นและยาวพาดลงไปถึงกลางหลัง ทอประกายเมื่อกระทบแสงแดดอ่อนยามเช้า ตัดกับชุดเกราะที่เรียบง่ายแต่ดูทรงพลังได้อย่างงดงาม
เธอยืนจ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาสีเขียวมรกตที่ฉายแววลังเล ราวกับกำลังขอร้องบางอย่างที่ไม่สามารถเอ่ยปากได้ แววตาของเธอแม้แฝงความมุ่งมั่น แต่ก็มีบางสิ่งที่ดูสับสนและเปราะบางอยู่ลึก ๆ
เอรอสไม่ได้แสดงอาการตอบรับหรือแปลกใจใดๆ เพียงมองเธอกลับอย่างเรียบเฉย เงียบงันและคงความสงบนิ่ง เหมือนเขาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เงียบๆ ที่ไม่อาจรับรู้ความนัยที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเธอ
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คิดอะไรมากกว่านั้น เอเลน่าก็เบือนหน้าหนีและเดินจากไป ร่างของเธอเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม แม้จะแฝงความรู้สึกหนักอึ้งไว้ เธอหายลับไปในผู้คนที่เดินขวักไขว่ ทิ้งไว้เพียงภาพเรือนผมสีทองและแววตาสีเขียวมรกตที่เอรอสไม่อาจลืม
เอรอสจ้องมองเงาหลังของเอเลน่าที่ลับไปท่ามกลางฝูงชนอย่างเงียบ ๆ ใจเขายังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าแววตาของเธอไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อเขา แต่ลึก ๆ ในใจ เขารู้ดีว่ามีเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจลบเลือนไปได้ง่าย ๆ—เรื่องราวในอดีตที่ทำให้พวกเขาสองคนต้องห่างเหินจากกัน
ในอดีตนั้น เขาและเอเลน่าเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เอเลน่าเป็นลูกสาวของตระกูลวัลธอเรน ตระกูลที่ทรงอิทธิพลและสูงส่งที่สุดในเมือง ขณะที่เอรอสเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ถูกนำมาดูแลภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลนี้ เพราะตระกูลของเขาเองมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดอยู่ห่าง ๆ เอรอสมีอนาคตที่ดูเหมือนจะสดใส เพราะด้วยสายตาของผู้ใหญ่ในตระกูล เขาถูกเลือกให้เป็นว่าที่คู่หมั้นของเอเลน่า ทั้งคู่เติบโตด้วยกัน และมิตรภาพระหว่างพวกเขาก็พัฒนาไปจนกลายเป็นความผูกพันที่แน่นแฟ้น
หลังจากที่เอรอสออกมาจากดันเจี้ยนแห่งนั้น เขาก็พบว่าตนเองสูญเสียความทรงจำในหลายๆ ส่วน ความทรงจำเกี่ยวกับวัยเด็ก เทคนิควิชาดาบที่เขาเคยฝึกฝนจากตระกูล และแม้แต่เส้นมานาที่ไหลเวียนอยู่ในตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงพลังเวทของเขา ทุกอย่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าพลังและความทรงจำเหล่านั้นไม่เคยมีอยู่จริง
การสูญเสียครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตของเอรอสไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขากลับมาที่ตระกูลวัลธอเรน บ้านหลังเก่าที่เคยให้การต้อนรับกลับกลายเป็นที่ที่เต็มไปด้วยสายตาดูถูกจากผู้คนรอบตัว สมาชิกในตระกูลมองเขาด้วยความผิดหวัง ราวกับว่าเขาเป็นเพียงภาระที่ไร้ประโยชน์ ในสายตาของพวกเขา เขาคือผู้ที่สูญสิ้นทุกสิ่งและไม่มีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งสำคัญใดๆ ในตระกูลได้อีกต่อไป
วันเวลาผ่านไป 4 ผ่านปี ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น—เหตุการณ์ที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย มันทำให้ตระกูลตัดสินใจขับไล่เอรอสออกมาอย่างไร้เยื่อใย เขาเดินออกมาจากตระกูลด้วยความสับสน พร้อมกับการสูญเสียทั้งบ้านและสถานะที่เคยมี
ชีวิตของเอรอสหลังถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลวัลธอเรนนั้น ไม่ได้สวยหรูมากนัก เขาใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดของเมือง ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างไร้จุดหมาย ผ่านคืนวันอันแสนเงียบเหงา และ เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว ความรู้สึกเคว้งคว้างทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างหลงผิดไปชั่วระยะหนึ่ง ราวกับไม่เห็นหนทางข้างหน้า
แต่แล้วในวันที่เขาใกล้จะหมดสิ้นความหวัง ก็มีใครบางคนยื่นมือเข้ามา เธอคนนั้นเข้ามาเรียกสติของเขาให้กลับคืนมา ใช้คำพูดและท่าทางที่หนักแน่นจนเอรอสเริ่มตระหนักได้ถึงความหมายที่แท้จริงของชีวิตอีกครั้ง และภายใต้คำชี้นำของผู้ช่วยเหลือคนนี้ เอรอสก็ค่อยๆลุกขึ้นสู้ใหม่ มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่คิดว่าควรจะมุ่งหน้าเดินไป
เอรอสที่หยุดเดิน ก็เริ่มเดินต่อไปตามถนนยามเช้า คิดถึงหญิงผู้เป็นดั่งผู้มีพระคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เธอเป็นคนที่สอนให้เขารู้จักคุณค่าของการยืนหยัดด้วยตัวเอง และเป็นคนแรกที่เขาเชื่อมั่นอย่างหมดใจ แต่แล้วเธอก็หายตัวไปอย่างกระทันหันเมื่อสี่ปีก่อน ราวกับละลายหายไปในอากาศ ทิ้งเขาไว้ท่ามกลางความสับสนและคำถามที่ไม่มีคำตอบ
เอรอสไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาออกตามหาเธอเท่าที่จะทำได้ ทุกตรอกซอกซอย ทุกเมือง ทุกจุดที่เขาคิดว่าเธออาจไปหรือทิ้งเบาะแสไว้ แต่ก็ไม่พบอะไรสักอย่าง ราวกับว่าเธอไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง การหายตัวของเธอทำให้ใจเขาเงียบงันลง แม้กระทั่งตอนนี้ เมื่อคิดถึงเธอ เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเว้าแหว่งในใจ
เขาถอนหายใจเบาๆ ความรู้สึกเซ็งหน่อยๆที่ยังตามติดมา เอรอสปรับสีหน้าให้สงบนิ่งอีกครั้ง ก่อนจะเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังกิลด์ที่อยู่ไม่ไกลนัก ยามเช้าอันสดแสนหดหู่นี้สำหรับตัวเขา ยังคงทอดผ่านเมืองราวกับจะปลุกผู้คนให้เริ่มต้นวันใหม่ แต่ในใจของเขายังมีเงาของอดีตที่ซ่อนลึกอยู่
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.