เอรอสก้าวเข้าสู่ห้องทำงานในแผนกสืบสวนของกิลด์ แสงอ่อนจากหน้าต่างสูงเพียงจุดเดียวพาดลงมาบนพื้นไม้ขัดมันเย็นเยียบ เงาของเขาทอดยาวอย่างเงียบงันราวกับจะตอกย้ำความโดดเดี่ยว สายตาเอรอสกวาดมองไปรอบห้อง—โต๊ะเก้าอี้ทุกชิ้นถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยแต่ไร้ชีวิตชีวา ราวกับว่าที่นี่ไม่มีใครเคยใช้มันมานานแล้ว
เขามองนาฬิกาบนฝาผนัง สายตาแฝงด้วยความไม่พอใจ“เรียกมาตั้งแต่เช้า แต่ไม่เห็นมีใครสักคน…ต้องรีบอะไรนักหนา” เขาพึมพำเบาๆ เสียงสะท้อนกลับมาในห้องที่ไร้สิ่งมีชีวิต
มือของเอรอสเอื้อมไปหยิบลูกบอลแสงสีทองจากกระเป๋าหนังที่สะพายไว้ มันเปล่งแสงสลัวๆ คล้ายแสงจันทร์ในคืนมืด เขามองลูกบอลแสงในมือครู่หนึ่ง ก่อนวางลงบนแท่นเหล็กเล็กๆที่หัวมุมโต๊ะ สัญญาณแสงสีฟ้ากะพริบขึ้นช้าๆ เป็นจังหวะบอกว่าการรายงานตัวเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ไม่มีใครมาสนใจจะตอบรับ ความเงียบนี้ทำให้เอรอสรู้สึกว่าตัวเขากำลังถูกจับตามองอยู่เงียบๆ โดยดวงตาที่มองไม่เห็น
เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย หันไปตามทางเดินเล็กๆตรงมุมห้องที่นำไปสู่ห้องทำงานของตัวเอง ห้องนั้นตั้งอยู่มุมอับเงียบสงบเหมือนถูกกั้นออกจากส่วนอื่นของแผนก ห้องเล็กแคบมีเพียงโต๊ะไม้เก่าที่ปกคลุมด้วยฝุ่นหนาและกองเอกสารที่วางเรียงกันอยู่มุมห้อง บนโต๊ะนั้นยังมีปากกาและดินสอที่เริ่มกร่อนตามกาลเวลา บ่งบอกถึงการใช้งานในอดีตที่ตอนนี้ดูเหมือนถูกทิ้งร้าง
เอรอสนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แขนกอดอกแน่น สายตาเขาจ้องไปที่เอกสารที่วางไว้ตรงหน้า ท่าทีของเขาดูเหนื่อยล้าแต่อัดแน่นด้วยความสงสัย ภายในรายงานเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวไปของจอมเวทย์หนุ่มสาวจากตระกูลขุนนาง เหยื่อทั้งหมดถูกพบในภายหลังโดยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่หายตัวไป เหมือนถูกลบล้างออกจากความคิดจนหมดสิ้น
เมื่อเอรอสอ่านรายละเอียดเพียงคร่าวๆ หัวคิ้วก็เริ่มขมวดด้วยความไม่พอใจ เขาพบว่ารายงานมีแต่ข้อมูลผิวเผินที่ไม่นำไปสู่คำตอบ ไม่มีเบาะแส ไม่มีรายละเอียดที่สามารถชี้ไปถึงผู้กระทำหรือเหตุจูงใจได้เลย ราวกับว่ามีบางอย่างที่ถูกปกปิดหรือจงใจลบข้อมูลออกไป
เอรอสหยิบเอกสารขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่ง แต่กลับพบเพียงกระดาษเปล่าที่ว่างเปล่า เขาได้แต่นั่งมองมันด้วยความรู้สึกอ่อนล้าและโกรธเคือง ภายในใจของเขาเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความผิดพลาดของระบบที่ซับซ้อนและย่ำแย่ เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับความไร้ประสิทธิภาพที่พบเจอซ้ำๆ เหมือนกับที่เขาต้องเผชิญทุกวัน
“พวกเขากำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่…” เขาพึมพำ จ้องมองชื่อของเหยื่อและสถานะของพวกเขา พลางสงสัยว่าทำไมเป้าหมายจึงมักเป็นลูกหลานของขุนนางโดยเฉพาะ เขาเริ่มรู้สึกว่าเบื้องหลังการหายตัวไปนั้นคงไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และปริศนานี้เหมือนกำลังเชื้อเชิญให้เขาตกสู่เข้าสู่กับดักที่ไร้ทางออก
เอรอสพยายามรวบรวมความคิดพลางเหลือบมองผ่านหน้าต่างเล็กๆ ด้านบน ที่ตอนนี้แสงอาทิตย์กำลังสาดเข้ามา เขาสูดลมหายใจลึก ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยความเบื่อหน่าย ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยเหนื่อยล้าจากการทำงานที่ไร้สีสันในชีวิตเช่น เขาเริ่มหันมองกลับไปที่เอกสารอีกครั้ง แล้วเริ่มค่อยๆไล่เรียงเบาะแสทีละจุด
ทุกหน้ากระดาษเต็มไปด้วยข้อความลึกลับ รายชื่อ ข้อมูลที่เชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ และเนื้อหาที่ดูเหมือนตั้งใจปกปิดข้อเท็จจริง เขาเพ่งพินิจดูอย่างละเอียด จดบันทึกสิ่งที่เห็นลงในสมุดบันทึกของตนเอง เพิ่มสัญลักษณ์และเครื่องหมายที่ใช้เตือนใจให้เขากลับมาตรวจสอบอีกครั้ง
“อย่างน้อยก็ต้องหาให้ได้ก่อนว่าพวกเขาหายตัวไปได้ยังไง” เขาพึมพำเบาๆ
ช่วงขณะที่จุดเอกสารลงในสมุดเล่มเล็ก ความคิดของเอรอสย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เขาเข้าร่วมกิลด์ครั้งแรก เขายังจำได้ดีถึงความหวังอันแรงกล้าเมื่อก้าวเข้ามาในแผนกสืบสวนนี้ ความปรารถนาที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง และอุดมการณ์ร่วมที่กันกับเธอ—หญิงสาวที่เขาอยู่เขาเคียงข้างในวันวาน เธอผู้มีความฝันที่จะก้าวหน้าไปในเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานแห่งนี้ แต่ตอนนี้ เขาอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางกองเอกสารที่ไร้ชีวิตชีวา
เอรอสรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกลืนเข้าสู่วังวนของความสิ้นหวังจากงานซ้ำซากที่ไม่มีจุดจบ แทนที่จะพบเจอคำตอบที่เขาตามหา รายละเอียดในเอกสารกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกถึงความยุ่งเหยิงของระบบและความไม่โปร่งใสที่ปกคลุมไปทั่ว รอยยิ้มบางๆ ที่เคยมีจางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกอัดอั้นใจที่ยิ่งทับถมมากขึ้นทุกวัน
เขาลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นจากโต๊ะเล็กน้อย แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง เสียงของเมืองหลวงเริ่มดังก้องเข้ามาเบาๆ เขาค่อยๆ หายใจเข้าออกช้าๆ ราวกับพยายามปลดปล่อยความอึดอัดจากการแบกรับภาระของหน้าที่ที่ทำอยู่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ
“หลังจากการฝึกงานของพวกเขาจบลง… ฉันจะลาออกจากที่นี้” เขาบอกกับตัวเองพลางยิ้มเศร้าๆในใจ ความตั้งใจที่จะลาออกกลับดูชัดเจนขึ้นทุกที ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอุดมการณ์ที่เคยมีไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของเธอ ที่เคยวาดฝันให้ตัวเขาเป็น มันเป็นสิ่งที่เขาเคยถือมั่นในฐานะความทรงจำ แต่ตอนนี้ เขารู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องปลดปล่อยมัน
เขาหันไปมองรอบๆห้องด้วยความรู้สึกเฉยชา ทุกสิ่งในที่นี้ช่างดูไร้ชีวิตชีวา มันเคยเป็นสถานที่ที่เขามักพบเธอรุ่นพี่ผู้เป็นดั่งแสงสว่างในชีวิตเขา ช่วยดึงเขาออกจากความโดดเดี่ยวที่เคยปกคลุมใจ และชี้ทางให้เขาเห็นความหมายของชีวิต—การกระทำเพื่อผู้อื่น แม้ในวันที่เขารู้สึกแปลกแยกจากโลกก็ตาม
เธออยู่เคียงข้างเขาในช่วงเวลาสำคัญ เธอที่อายุมากกว่าเขาแค่ 4 ปี แต่ก็เป็นดั่งเข็มทิศที่ช่วยนำทางให้เขาเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ เอรอสรู้ดีว่าเส้นทางที่เขาก้าวตามนี้เกิดจากการเลือกเพราะเธอ—เธอที่เป็นรุ่นพี่ผู้เป็นดั่งแรงบันดาลใจให้เขาก้าวเข้ามายังแผนกนี้ แต่ตอนนี้ ความหนักอึ้งนั้นชัดเจนขึ้นมากขึ้นทุกที
สี่ปีที่ผ่านมา คำสอนของเธอที่เคยมั่นคงกลับเริ่มจางลงเหมือนกระดาษที่ถูกปลิวไปในสายลม ไม่หลงเหลือความรู้สึกที่ยึดเหนี่ยวเหมือนเมื่อก่อน เขารู้สึกว่ามันกลายเป็นแค่คำแนะนำที่ขาดผู้คอยชี้นำ ราวกับต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนเขาเอง ความเหนื่อยหน่ายที่เคยซ่อนอยู่ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นเหมือนการเดินอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เอรอสหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม เดินออกจากห้องด้วยความมุ่งมั่น ความเงียบที่เคยรู้สึกถึงภายในห้องตอนนี้ยังคงอยู่เบื้องหลัง ราวกับความเปลี่ยวเหงาที่เขาจะทิ้งไว้ข้างหลังเช่นกัน
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.