"น่าสนใจใช่ไหม?" หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง เธอมองเขาอย่างพึงพอใจ "แต่ล่ะคนก็มีแนวทาง และ วิธีรับมือต่างกันไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถเข้ากับมันได้"
เธอสบัดมือ คริสตัลที่รายล้อมหายไปในพริบตา พื้นดินที่เคยถูกกดทับกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้น กลิ่นหอมจางๆของหญ้าสดโชยขึ้นมาจากบริเวณที่โดนกดทับ พร้อมกับมานาที่ซึมลงดินอย่างแผ่วเบา ราวกับมันพยายามทำให้พื้นที่นั้นกลับมาเหมือนเดิม
เขามองสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงระวังตัว "พวกเขาสมัครใจรับการทดสอบเองงั้นหรอ?"
หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบเรียบๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนที่มาที่นี้ต่างก็สมัครใจรับการทดสอบ”ก่อนจะพูดปิดท้ายอย่างเย้ยหยัน
"มีแค่นายเท่านั้นแหละทีี่ไม่รู้อะไรเหมือนคนอื่น"ก่อนจะยักไหล่น้อยๆตอบ น้ำเสียงดูเหมือนจะไม่ใส่ใจนัก
"เอาเถอะ ครั้งนี้การทดสอบมันยากเกินไป ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครได้มันไปอยู่แล้ว"
คำว่า "ครั้งนี้" ทำให้เขาสะดุด ใจเขาเริ่มตั้งคำถาม—แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ?
เขาจ้องเธออีกครั้ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย "แล้วของรางวัลก่อนหน้านี้ล่ะ?"
หญิงสาวไม่ตอบในทันที เธอเพียงยิ้มบางๆ ก่อนส่ายหัวช้าๆ "นายถามเยอะเกินไปแล้ว" น้ำเสียงของเธอแฝงความประชดประชันเล็กน้อย "ถึงเวลาที่นายต้องตอบคำถามของฉันบ้าง"
ความเงียบโรยตัวลงทันที เสียงลมพัดผ่านเหมือนช้าลง อากาศเริ่มเย็นยะเยือกจนรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนจะเจาะลึกเข้าไปในจิตใจ
"นายน่ะ เคยมาที่นี้ใช่ไหม?" เธอกล่าวพลางเอนตัวเล็กน้อย คำถามของเธอ ทำให้เขาเผลอสะดุ้งเล็กน้อย พยายามจะเก็บอาการ แต่ก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของเธอ
"...ท่าทางของนายไม่เหมือนกับคนอื่นๆ" เธอพูดต่อ น้ำเสียงแฝงความสงสัย
“พวกเขามักจะตื่นตระหนก หวาดระแวง เมื่อมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่กับนาย”เธอพูดเสร็จ ราวกับมีสายตานับพันจ้องมองเขาอยู่โดยรอบ พลังเวทย์ของเธอกำลังแฝงอยู่ในอากาศ ทำหน้าที่ดั่งดวงตาสังเกตุการณ์อย่างละเอียด
“นายดูคุ้นเคย เหมือนกับว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต….. นั้นยิ่งทำให้ฉันสงสัย”เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ ราวกับความอยากรู้อยากเห็นของเธอกำลังเพิ่มสูงมากยิ่ง
“อะไรที่ทำให้นายสามารถเข้ามาที่นี้ได้ โดยที่ไม่ต้องได้รับอนุญาติจากฉัน?”สิ้นเสียงของเธอ แรงกดดันมหาศาลก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อยู่ในระดับยังทำให้เขาสามารถหายใจได้ แม้ร่างกายจะหนักหน่วงก็ตาม
ชายหนุ่มยืนนิ่ง ความเงียบรอบตัวแผ่ขยายออกไป มีเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้ที่ดังแผ่วเบาเหมือนเป็นเสียงประกอบฉากความลังเล ดวงตาของหญิงสาวมองลึกเข้าในดวงตาของเขา เธอยังคงรอคำตอบอย่างแน่วแน่ สายตาแสดงออกถึงความคาดหวังที่เขาไม่ต้องการตอบสนอง
“ชักจะยุ่งยากแล้วสิ เรื่องที่เคยมาที่นี้รึเปล่า มันไม่สำคัญหรอก การออกไปจากที่นี้ต่างหากคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ยังไงก็ได้ข้อมูลมาแล้ว….”
เขาบอกตัวเองในใจ พลางปิดการใช้งานกล้องวิดิโอที่ซ่อนอยู่ด้วยการสัมผัสที่แหวน คลื่นสัญญาณถูกส่งไปที่การ์ดสีดำที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าหน้าอก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกขนาดพกพาที่ไม่ได้อาศัยเวทมนตร์ในการทำงาน ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญตรงหน้าไว้หมดแล้ว เท่านี้ก็ได้หลักฐานทั้งหมดในการจบคดี ที่เหลือก็แค่ออกไปจากที่นี้…
กล้องวิดีโอที่เขาใช้ ถึงแม้มันจะเป็นรุ่นเก่า แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเวทมนตร์ได้ ถือเป็นข้อดีอันน้อยนิดที่มันเหลืออยู่ แถมเขายังดัดแปลงให้รูปร่างของมันดูเป็นเหมือนการ์ดธรรมดา ต่อให้เป็นคนที่รู้จัก หรือ เคยเห็นสิ่งนี้ ก็ยากที่จะมองออกว่ามันคืออะไร
ชายหนุ่มจ้องมองไปที่สายตาของหญิงสาวอีกครั้ง ถึงเธอจะคาดหวังให้เขาเล่าอะไรออกมา แต่เขาไม่มีความตั้งใจที่จะบอก เหตุผลนั้นชัดเจน—เธอเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนที่เขาไม่ไว้ใจโดยสัญชาตญาณ ยิ่งมองเข้าไปในสายตาเธอ ยิ่งเห็นเงาของบางสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้
เขาย้ำกับตัวเองว่าไม่ที่จำเป็นต้องพูดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแม้จะโดยสายตานั้นจับต้อง ยังไงเขาก็ตั้งใจจะลาออก เพื่อออกเดินทางอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปขุดคุ้ยถึงอดีต
แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะอันตราย แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ เขาก็สามารถออกไปจากที่ได้ แม้อาจจะต้องเลื่อนการเดินทางไปอีกสักเดือน เพราะผลกระทบจากการโดนครอบงำก็ตาม
แต่ตอนที่เขาตั้งใจจะปฏิเสธคำถามของเธออย่างชัดเจน อารมณ์บางอย่างกลับผุดขึ้นมาในใจ เป็นความรู้สึกที่เขาพยายามเก็บซ่อนไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา—ความเสียใจ
มันเป็นความเสียใจที่เขาเคยเกิดขึ้นในอดีต สัญชาติญาณของเขา กำลังร้องเตือนเหมือนกับวันนั้นอีกครั้ง
วันที่เธอหายตัวไปเป็นวันหยุดที่หาได้ยากยิ่งสำหรับเขา แต่มันกลับไม่ได้สงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น เธอไม่ได้หยุดด้วย เพราะดันมีภารกิจสำคัญที่ต้องไปทำ เลยออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
ภาพความทรงจำเหล่านั้นยังคงแจ่มชัดในหัว พวกเรากินอาหารเช้าด้วยกันตามปกติ เธอเดินออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส ก่อนจะทิ้งท้ายประโยคที่เรียบง่ายแต่ยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ “อย่าทำหน้าเครียดเกินไปสิ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
สำหรับเธอแล้ว เขาคงเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่ง คนที่เธอตั้งใจจะชี้นำให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ในตอนนั้นเขาก็เคยคิดเช่นเดียวกัน คิดว่าความรู้สึกที่มีให้เธอเป็นเพียงความผูกพันแบบพี่น้อง
แต่เมื่อเธอหายตัวไป ความจริงที่เขาไม่เคยยอมรับก็เริ่มเปิดเผยตัวมันเอง เขาไม่ได้มองเธอเป็นเหมือนพี่สาวหรือครอบครัว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านั้น การสูญเสียเธอไป ก่อนจะได้พูดความในใจ กลายเป็นบาดแผลที่ยังคงฝังลึกอยู่ในทุกวันนี้
ในตอนนี้ สัญชาตญาณเดียวกันกับในตอนนั้นกำลังกู่ร้องบอกเขาอีกครั้ง ให้เขาอย่าเมินเฉย และ เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่งั้นอาจจะเสียใจอีกครั้ง
เขาหลับตาแน่น สูดหายใจลึกเพื่อระงับความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในอก ก่อนจะเปิดตามองหญิงสาวอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ที่จะใช้เหตุผล และ ลองเสี่ยงเชื่อในสัญชาติญาณของตัวเองดู
"ก็ได้..." เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
“ฉันยอมบอกเธอก็ได้ ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรอยู่แล้ว”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราวกับประชดประชัน อดีตที่เขาเขาพยายามจะทิ้งไป บัดนี้ ได้หวนกลับมาอีกครั้ง
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.