หลังจากอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเครื่องแบบสีดำสนิทออกมา มันเป็นชุดที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต—เสื้อเชิ้ตพอดีตัวเน้นความคล่องตัว และเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อจรดสะโพก ด้านในบุซับกันหนาวและมีกระเป๋าลับซ่อนอยู่หลายจุด เหมาะสำหรับเก็บอุปกรณ์สำคัญที่ต้องใช้ในงานเฉพาะทางของเขา
เมื่อสวมชุดเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำขึ้นมาเพื่อดับกระหาย แต่ทันทีที่สัมผัสเขาก็ชะงัก อุณหภูมิของมันอุ่นเกินไป ตู้เย็นไม่ทำงานเหมือนเคย
เขาเลิกคิ้ว สายตาคมจ้องไปยังแหล่งพลังงานด้านหลังตู้เย็น ก่อนจะเปิดช่องเล็กๆ ออกมา ข้างในมีแก่นพลังเวทย์ขนาดเล็กที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อน แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนแทบไร้สี บ่งบอกว่าพลังงานในนั้นหมดสิ้น
“หมดอีกแล้วสินะ...” เขาพึมพำเบาๆ ถอนหายใจก่อนจะเดินไปที่เตียง ยื่นมือไปใต้ฐานเตียงแล้วหยิบแก่นสำรองที่ซ่อนไว้ออกมา
มือหนึ่งถือแก่นที่ซ่อนเอาไว้ ส่วนอีกมือจับแก่นที่หมดพลังงาน เขาจัดท่าทางให้มั่นคง ระบายลมหายใจยาวช้าๆ ขณะที่เริ่มถ่ายเทพลังเวทย์จากแก่นหนึ่งไปสู่อีกแก่นหนึ่ง
กระแสพลังงานไหลเวียนจากฝ่ามือของเขาเหมือนน้ำในลำธารสงบ แก่นที่เคยซีดจางค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นเหลืองทองอมน้ำตาล แสงที่เคยริบหรี่กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าแก่นกลับมามีพลัง เขายิ้มจางๆ อย่างพอใจ ก่อนจะติดตั้งมันกลับไปในช่องพลังงานของตู้เย็น เสียงเครื่องเริ่มทำงานอีกครั้ง ดั่งสัญญาณบอกว่าทุกอย่างกลับมาปกติ
มันเป็นความสามารถพิเศษ วิธีที่เขาถ่ายเทพลังเวทย์เข้าไปในแก่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทำได้
โดยทั่วไปเมื่อพลังงานหมด คนปกติต้องไปซื้อแก่นมาใช้ใหม่ แต่เขาสามารถฟื้นฟูมันได้ด้วยตัวเอง เป็นความสามารถลับที่ไม่เคยบอกใครเลย ยกเว้นคนคนหนึ่งในอดีต คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดั่งแสงสว่างในชีวิตเขา แต่ตอนนี้กลับหายตัวไป
หลังจากแน่ใจว่าตู้เย็นกลับมาทำงาน ชายหนุ่มเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เก็บของใช้จำเป็นลงกระเป๋าเตรียมออกไปทำธุระที่กิล เช้าวันนี้มีงานสำคัญรออยู่
แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนโต๊ะ ตัวเลขบ่งบอกว่าเวลานัดใกล้เข้ามาเต็มที เขารีบเร่งจัดของจนเกือบลืมสังเกตบางสิ่ง แต่ทันทีที่เดินผ่านประตู สายตาของเขาก็สะดุดกับจดหมายฉบับหนึ่ง
มันถูกเสียบไว้ตรงช่องข้างหน้าต่าง ซองกระดาษซีดจางเล็กน้อยเหมือนผ่านกาลเวลามาพอสมควร แต่ตราประทับที่เด่นชัดทำให้เขารู้ทันทีว่ามันมาจากไหน
ตระกูลวัลธอเรน
เพียงแค่เห็นชื่อนั้น ความหงุดหงิดก็พลุ่งพล่านในอก ตระกูลที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนกลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ผ่านเพียงจดหมายใบเดียว
“ไว้เลิกงานค่อยกลับมาอ่านก็แล้วกัน” เขาพูดกับตัวเองเสียงเบา หาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงความทรงจำที่ไม่อยากเผชิญ
ชายหนุ่มเมินมันอย่างจงใจ หันหลังปิดประตูและเดินจากไป ทิ้งจดหมายไว้เบื้องหลังเหมือนเรื่องราวในอดีตที่เขาเลือกจะไม่เปิดอ่าน… อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ของร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่งในมุมถนน กลิ่นหอมของขนมปังอบใหม่ๆลอยออกมาแตะจมูก ดึงดูดให้เขาแวะซื้อเป็นมื้อเช้า เขาไม่ลังเล สั่งกาแฟและขนมปังทันทีเมื่อถึงคิวของตัวเอง
เมื่อได้รับขนมปังหอมกรุ่นกับกาแฟร้อนในมือ เขาคลี่กระเป๋าเงินออกอย่างคล่องแคล่ว ควักเหรียญทองแดงออกมาวางบนเคาน์เตอร์หกเหรียญพอดี ผู้ขายพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม ก่อนจะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ขอบคุณที่อุดหนุน โชคดีนะพ่อหนุ่ม"
เขาหยิบถุงขนมปังและกาแฟติดมือ ก่อนจะเดินออกจากร้านอย่างสบายใจ ก้าวเท้ายาวๆ ไปตามถนนพลางฉีกขนมปังออกเป็นคำเล็กๆ กินคู่กับกาแฟร้อนที่ยังส่งกลิ่นหอมกรุ่น ขนมปังอบใหม่ยังคงอุ่นและกรอบนอกนุ่มใน ส่วนกาแฟรสชาติเข้มข้นช่วยลบความเหนื่อยล้าที่แฝงอยู่ หายไปจนหมด
ขณะเดินผ่านย่านการค้า ดวงตาของเขาสอดส่ายไปยังบรรยากาศรอบตัว ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าจางเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ย้อมทุกสิ่งด้วยสีทองอ่อนโยน เขาสังเกตเห็นถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ละคนมีจังหวะของตัวเอง บ้างเร่งรีบเพื่อไปให้ทันเวลา บ้างเดินอย่างผ่อนคลาย ราวกับเวลาคือสิ่งที่ไม่ต้องกังวล
ท่ามกลางผู้คนหลากหลายในย่านการค้า สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มนักเรียนในชุดจอมเวทย์ที่เดินปะปนอยู่กับประชาชนธรรมดา ชุดสีฟ้าสดตัดกับเครื่องหมายเวทย์ที่หน้าอกเสื้อ ทำให้พวกเขาโดดเด่นกว่าผู้คนรอบข้าง บางคนจับกลุ่มพูดคุยเสียงดังอย่างสนุกสนาน บางคนเดินเงียบๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับเตรียมตัวสำหรับบททดสอบหนักหนา และ เต็มไปด้วยความท้าทาย
สายตาของเขาเลื่อนไปยังเส้นทางรถไฟที่อยู่ไม่ไกล ตู้โดยสารคันเดิมยังจอดแอบอยู่ที่ชานชาลา มันเป็นรถไฟที่พาเขากลับมาเมื่อคืนนี้ หลังจากที่เขาได้รับคำสั่งด่วนให้กลับมาที่เมือง โดยไม่ทันจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ความเหนื่อยล้าจากเมื่อคืนยังหลงเหลือ แต่ในเช้าวันนี้ อากาศสดชื่นกับเสียงผู้คนรอบข้างช่วยให้ความอึดอัดในใจบรรเทาลง
แม้เมืองนี้จะดูสงบสุขและเป็นระเบียบ ชีวิตของผู้คนดูดำเนินไปอย่างธรรมดา แต่เขาก็รู้ดีว่าความสงบเหล่านั้นเป็นเพียงฉากหน้าที่ปกปิดความจริงอันเลวร้าย กลุ่มอาชญากรและการทุจริตยึดครองเงามืดของเมืองนี้ไว้ บดบังด้วยภาพลวงตาของความสงบที่ผู้คนส่วนใหญ่มองเห็น
ความคิดของเขาหยุดชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรถม้าสีดำคันหนึ่งเคลื่อนช้าๆบนถนนเบื้องหน้า มันแตกต่างจากรถม้าทั่วไป ด้วยกรงเหล็กที่ติดตั้งไว้ด้านหลัง ภายในกรงคือเงาร่างของทาสที่ถูกพันธนาการไว้ บางคนเป็นมนุษย์ บางคนคือเผ่าสัตว์หรือกึ่งสัตว์ ร่างกายของพวกเขาถูกบอบช้ำ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บางคนมีบาดแผลที่เผยให้เห็นความรุนแรงที่พวกเขาเผชิญ หางหรือหูที่เคยดูสง่างามของเผ่าสัตว์เต็มไปด้วยฝุ่นและคราบแผลเก่า
ดวงตาของเขาจับจ้องภาพเหล่านั้น ความเงียบในกรงดูจะหนักแน่นกว่าความโกลาหลใดๆ ความหวังที่เคยส่องประกายในดวงตาของพวกเขาดับไปนานแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน เขาเผลอถอนหายใจยาวออกมา ขนมปังในมือที่เคยหอมหวานกลับมีรสขมจนกลืนไม่ลง มือของเขาขยับโยนมันลงในถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะก้าวเดินต่อ พร้อมกับซ่อนความรู้สึกอึดอัดในใจ
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.