เอรอสก้าวออกจากคุกอย่างเงียบงัน สายตาของเขาสำรวจชายที่ถูกสิงอยู่เบื้องหน้า แต่พบเพียงคฑาและชุดคลุมเวทมนตร์ ไม่มีสิ่งของอื่นใดที่จะใช้ประโยชน์ได้ ชายตรงหน้าเคร่งครัดต่อหน้าที่จนไม่พกสิ่งใดที่นอกเหนือความจำเป็น ซึ่งเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับสถานการณ์เช่นนี้
ในขณะที่เขากำลังคิดหาทางต่อ เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ฝ่าความเงียบในคุกใต้ดิน เสียงที่แหบต่ำและเย็นเยียบ ราวกับเล็ดลอดออกมาจากรอยแยกในโลกแห่งความตาย
“ข้าทำตามสัญญาแล้ว... ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้”
เสียงนั้นไม่ได้ออกมาจากปากของชายที่ถูกสิง แต่มันดังขึ้นราวกับสะท้อนมาจากทุกมุมของห้อง ร่างของชายที่ถูกครอบงำค่อยๆ เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเซียว ดวงตาของเขาไร้แววชีวิต ทว่ากลับมีประกายสีดำลุกวาวอยู่ภายใน
จากมือของเขา มีดสีดำสนิทปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มันยื่นไปทางเอรอส ราวกับมีชีวิตของมันเอง
เขารับมีดมาอย่างระมัดระวัง สายตาของเขาจ้องปีศาจโดยไม่หลบเลี่ยง แต่ไม่ทันที่เขาจะลงมือ เสียงของปีศาจก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนข้อกลงเป็นวิญญาณของชายผู้นี้หรือ? คิดว่าเลือดของตัวเองมีค่าพอจะชดเชยกับสิ่งที่ข้าทำให้หรือไง?” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความยั่วยุและเยือกเย็น
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ เขาเพียงมองปีศาจด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะใช้ปลายมีดจิ้มลงบนปลายนิ้วของตัวเองอย่างแผ่วเบา หยดเลือดเล็กๆ ไหลซึมลงสู่คมมีดสีดำ
“ถ้าอยากรู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน ลองชิมดูสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ปีศาจหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เงามืดสีดำจะเลื้อยออกมาจากร่างของชายที่มันสิง ควันดำเคลื่อนไปยังปลายมีด ราวกับกำลังดมกลิ่นบางอย่าง เมื่อมันสัมผัสหยดเลือด เสียงคำรามต่ำดังขึ้นในอากาศ ราวกับเสียงครางของสัตว์ร้ายในความมืด
“นี่มัน… เกินกว่าที่ข้าคาดไว้...” เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นกระซิบแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความโลภ
“กลิ่นของจิตญาณที่น่าพิศมัย หอมหวาน... ช่างแตกต่างจากเลือดมนุษย์ทั่วไปนัก”
ชายหนุ่มไม่รอให้มันตั้งสติ เขาเฉือนฝ่ามือของตัวเองอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากบาดแผล มีดในมือเริ่มดูดเลือดช้าๆราวกับสิ่งมีชีวิตที่กระหาย ขวดแก้วใบหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มันลอยขึ้นรับเลือดที่หยดลงมาจนเต็ม
ปีศาจยื่นมือไปหยิบขวดขึ้นมา มันเปิดฝาอย่างช้าๆกลิ่นเลือดกระจายไปทั่วคุกใต้ดิน เสียงสูดดมที่ยาวนานและลึกดังขึ้น ก่อนที่มันจะดื่มเลือดเข้าไปอย่างช้าๆ
ความเงียบครอบงำทุกสิ่ง ยกเว้นเสียงที่ดังขึ้นในลำคอของปีศาจ “รสชาติที่แท้จริง... มันลึกซึ้ง... เข้มข้น... และน่ากลัว...” เสียงหัวเราะต่ำดังขึ้นในความมืด น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความพึงพอใจที่น่าสะพรึงกลัว
“มนุษย์... เจ้าช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก นี้มิใช่สิ่งธรรมดา...”
ขณะที่ปีศาจยังจมอยู่กับความโลภและพึงพอใจ เขาสบโอกาสจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด ขวดที่สองปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มันลอยไปรับเลือดที่หยดลงมาจากมีดจนเต็ม
เมื่อกระบวนการสิ้นสุด ปีศาจหยุดนิ่ง มันจ้องมองเขาด้วยดวงตาไร้แววที่เรืองแสงในความมืด
“ข้าหวังว่าเจ้าจะรอดพ้นในคืนนี้มนุษย์ แต่จงรู้ไว้... ข้าจะเฝ้าจดจำรสชาติของเจ้า เจ้าจะอยู่ในสายตาข้าตลอดไป ”
เสียงหัวเราะของมันดังก้องขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เงามืดทั้งหมดจะหายลับไป ร่างชายที่ถูกสิงทรุดลงกับพื้น เขาเดินเข้าไปตรวจชีพจร
“ยังมีชีวิตอยู่...” เขาพึมพำ ก่อนจะจัดการวางชายคนนั้นไว้ในมุมที่ปลอดภัย ขณะที่มองมือที่มีแผลจากการถูกกรีด เลือดยังหยุดไหลไม่สนิท ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ดีที่เลือกทำแบบนี้
แผนในตอนแรกของเขาคือ การใช้แก่นมานาที่กลืนไปก่อนหน้านี้ เพื่อทำวงเวทย์อัญเชิญปีศาจ แล้วใช้จิตวิญญาณของผู้คุมที่เข้ามาใหม่เป็นเครื่องสังเวย
แต่กลับกลายเป็นว่า คนที่มาเฝ้าเขาต่อนั้น ดันเป็นคนรู้จักของผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้เขาไม่มีทางเลือก เลยต้องเปลี่ยนเครื่องสังเวยเป็นเลือดของเขาที่พึ่งใช้ครั้งแรกแทน โชคยังดีที่ดูเหมือนว่ามันจะใช้น้อยกว่าที่คิดไว้มาก เลยไม่จำเป็ฯต้องพักนานอะไรนานขนาดนั้น
นี้คือโอกาสเดียวที่จะสำรวจหอคอยเวทมนตร์ให้ได้มากที่สุด เป็นหนึ่งในสถานที่ๆเขาไม่เคยย่างก้าวเข้ามาเลย เพราะมีกฏห้ามคนนอกห้ามเข้า ถึงแม้จะไม่คิดว่า ด้วยความสัมพันธ์ของเธอกับผู้ชายคนนั้น จะทำให้เธอไม่เคยมาที่นี้ก็ตามแต่สำรวจไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร เพราะยังไงก็พอมีเวลาอยู่แล้ว
คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ตัดสินใจสำรวจสถานที่แห่งนี้ต่อ ก่อนจะเริ่มเดินไปในโถงทางเดินอันมืดมิด
เขาเดินช้าๆ ผ่านโถงทางเดินในคุกใต้ดิน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เสียงก้าวเท้าดังก้องสะท้อนกลับมาเบาๆ ราวกับมันกำลังเตือนให้ตื่นตัว ชายหนุ่มเดินกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างละเอียด ไล่สำรวจทุกซอกทุกมุมของกำแพงหินเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำและรอยร้าว
เขาหยุดอยู่ที่ประตูเหล็กบานหนึ่งที่ปิดสนิท ลองผลักมันเบาๆ แต่ประตูไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย จึงก้มลงสำรวจรอยต่อและบานพับ บางทีอาจมีร่องรอยที่ชี้ให้เห็นว่ามีคนอื่นเคยพยายามเปิดประตูนี้มาก่อน แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงสนิมและฝุ่นหนาที่บ่งบอกว่าไม่มีใครแตะต้องมานานหลายปี
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ร่างสูงยังเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ความหวังที่จะพบใครหรือเบาะแสสำคัญเริ่มจางหาย ทว่าทันใดนั้นเอง ก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ สายลมแผ่วเบาพัดผ่านหลัง มันไม่ควรเกิดขึ้นในสถานที่ปิดตายเช่นนี้ เขาหยุดนิ่งในทันที ปล่อยประสาทสัมผัสทุกส่วนให้ทำงานเต็มที่ ลมหายใจแผ่วเบาขณะที่สำรวจที่มาของสายลมนั้น
ในที่สุดก็พบมันรอยแตกเล็กๆ ที่แทบมองไม่เห็นตรงกำแพงมุมหนึ่ง ลมที่พัดผ่านออกมานั้นแสดงให้เห็นว่ามีโพรงหรือห้องลับอยู่ด้านหลัง มือแกร่งพยายามสัมผัสกำแพงรอบๆ ตรวจหากลไกหรือปุ่มซ่อน แต่ไม่พบอะไร จึงถอยหลังออกมา สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ และเมื่อเปลือกตาคู่นั้นเปิดอีกครั้ง แววตาเปลี่ยนไป — เป็นประกายสีแดงที่ดุดันและทรงพลัง
ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง กล้ามเนื้อขยายใหญ่ขึ้น ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเข้ม พลังกำลังมหาศาลปรากฏขึ้นมาแต่ยังคงควบคุมมันไว้อย่างมั่นคง
ก่อนลงมือ เขาร่ายเวทย์เก็บเสียงโดยใช้พลังเวทย์จากหัวใจออกมาเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความผิดแปลกที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตวิญญาณ แต่เขาไม่มีเวลาที่มาสนใจ พื้นที่รอบตัวเงียบสนิท แม้แต่เสียงหินแตกก็จะไม่เล็ดลอดออกไปได้ จากนั้นใช้หมัดอันทรงพลังกระแทกกำแพงด้วยแรงเต็มที่ หินแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นห้องๆนึงที่ถูกซ่อนอยู่ภายใน
เมื่อก้าวเข้าไปข้างใน แสงสลัวจากเปลวไฟในโคมไฟเวทมนตร์เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ตามผนังส่องให้เห็นภาพที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น เย็นเยียบและอ่อนแรง ชายผู้มีผมสีทองและดวงตาสีฟ้าสดใส แต่บัดนี้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากการทรมาน รอยฟกช้ำและรอยแผลลึกกระจายอยู่ทั่วตัว แม้กระทั่งสีของดวงตาก็ดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
อาร์วิน แคร์นัส... คู่หมั้นของเพื่อนสมัยเด็ก เอเลน่า วัลธอเรน
ก่อนทันได้คิดหรือตัดสินใจทำสิ่งใด เสียงบางอย่างดังขึ้นเบาๆ ราวกับลมหายใจสุดท้ายที่เกือบสิ้นสุดลง
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.