ตอนที่ 9 รอยยิ้ม
Part Nelson
ผมนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งเชื่อมต่อกับระบบกล้องวงจรปิดภายในร้านซึ่งผมเปิดเป็นธุรกิจบาร์โฮสต์สำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ พนักงานในร้านของผมเป็นผู้ชายหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชายซึ่งมีรสนิยมเดียวกัน
เนื่องจากผมจำเป็นต้องกลับมาอเมริกาเป็นเวลาหลายวัน ดังนั้นการพึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นตัวช่วยให้ผมสามารถดูความเคลื่อนไหวต่างๆ ภายในร้านได้แม้ว่าตัวเองจะอยู่อีกซีกโลกหนึ่งก็ตาม
ภาพของเด็กวัยรุ่นผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังเดินสำรวจร้านของผมไปทั่ว ปลายนิ้วมือของผมกำลังเลื่อนเพื่อกดส่งสัญญาณ แจ้งเตือนให้ตำรวจซึ่งผมต่อระบบรักษาความปลอดภัยที่ร้านเอาไว้ ให้รู้ว่าร้านของผมกำลังอยู่ในอันตราย แต่นิ้วมือของผมยังคงค้างทิ้งเอาไว้อย่างนั้น เมื่อผมเห็นหัวขโมยนั่งลงหยิบเศษอาหารซึ่งเป็นของเหลือจากลูกค้ากินอย่างน่าสงสาร ทั้งๆ ที่ในตู้แช่ของผมมีอาหารสดอย่างดีจำนวนมากหรือแม้กระทั่งอาหารสำเร็จรูปแบบกระป๋องก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย แต่หัวขโมยอายุน้อยกลับเมินมันไปและผมรู้สึกแปลกใจ หนักยิ่งกว่าเมื่อเด็กผู้ชายคนนั้นเก็บกวาดทำความสะอาดร้านของผมจนเรียบร้อย โดยไม่ได้แตะต้องมองหาของมีค่าอื่นใดเลย
ผมนั่งดูเด็กคนนั้นจนเพลินเพราะผมอยากรู้ว่าหัวขโมยคนนี้ต้องการอะไรจากร้านของผมกันแน่ ผมกดเปิดระบบไมค์ให้กับกล้องวิดีโอเพื่อต้องการฟังเสียงต่างๆ ไปด้วย แต่ไม่มีอะไรนอกจากเสียงลากเก้าอี้และเสียงน้ำจากก๊อก เมื่อเด็กคนนั้นเข้าไปล้างจาน ล้างแก้วในครัวของผมก่อนจะเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินกลับมานั่งบนโซฟาด้านหน้าเวที หัวขโมยอายุน้อยล้มตัวลงนอนไปบนโซฟาเพียงไม่กี่นาที ร่างผอมบอบบางนั้นก็ผุดลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าร้องไห้จนผมต้องปิดหน้าจอโทรศัพท์ทิ้งไปเพราะทนฟังเสียงร้องไห้ของหัวขโมยไม่ไหว มันโหยหวนจนบาดหัวใจผมเหลือเกิน
ผมรู้สึกหนักใจทันทีเมื่อกลับมาพบว่าหัวขโมยซึ่งแอบเข้ามานอนในร้าน แอบกินเศษอาหารของเหลือในร้านของผมเป็นเด็กวัยรุ่นอายุน้อยตัวเล็กนิดเดียว เหมือนร่างกายยังโตไม่เต็มวัยหนุ่ม หากเจ้าตัวไม่ยืนยันว่าอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วผมจะไล่เด็กคนนี้ออกไปทันทีเพราะเอาจริงๆ ป้อนเป็นผู้ชายร่างเล็กผอมบางทรงผมยังคงสั้นเกรียนเหมือนเด็กมัธยมเท่านั้น
ผมชื่นชอบในความขยันและความมักน้อยซื่อสัตย์เพราะเฝ้าสังเกตพฤติกรรมเด็กคนนี้ผ่านกล้องวงจรปิดร่วมสามสิบตัวภายในร้านจนมั่นใจว่าเด็กคนนี้เชื่อใจได้ ผมเคยทดสอบหยิบยื่นข้อเสนอสำหรับราคาค่าตัวที่มากกว่าค่าแรงล้างจานให้แต่น่าตลกที่ผมถูกปฏิเสธกลับมาอย่างไร้เยื่อใย เมื่ออีกฝ่ายไม่ยินดีผมก็ไม่หักหาญน้ำใจเพราะผมเองก็ไม่ชอบฝืนใจใคร มันไม่สนุก ถ้าเราจะนอนกับคนที่เขาไม่เต็มใจ แม้ว่าผมจะรู้สึกชอบเด็กคนนี้มากก็ตาม ผมกลับมาใช้วิธีเดิมๆ คือการยื่นข้อเสนอและหากมีเด็กคนไหนพร้อมจะสนองความต้องการผมก็พร้อมจะจ่าย
ครึก ครึก โครม เสียงเหมือนมีของหนักตกพื้นทำให้ผมใจหายภาพในหัวสิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาคือใบหน้าของเด็กหนุ่มนัยน์ตาเศร้าซึ่งเพิ่งเดินออกไปจากห้องนอนของผมไป
“ป้อน” ผมวิ่งมาเจอกับร่างของคนตัวเล็กกลิ้งลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนกองผ้าห่มนวมที่ปลายสุดของบันไดตรงชั้นสาม
“ทำไมเขาถึงเป็นลมบ่อยนักครับ” ผมสอบถามคุณหมอทันทีเมื่อพาเอาคนที่ขยันเป็นลมบ่อยเหลือเกินมาส่งยังโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย โชคดีที่ป้อนตกลงมาจากบันไดโดยมีผ้าห่มผืนหนาของผมรองรับห่อหุ้มตัวเอาไว้จึงไม่ได้รับอันตรายอะไรมากเพียงแค่มีรอยฟกช้ำตามแขนขาเพราะคงพลาดไปฟาดกับขอบขั้นบันไดเข้า
“ผมไม่รู้ว่าพวกคุณทราบเรื่องนี้กันหรือเปล่า แต่คนไข้กำลังอยู่ในภาวะการตั้งครรภ์นะครับ” คุณหมอมีอายุท่าทางใจดีส่งยิ้มมาให้ผมกับแก๊ป ผมหันไปสบตากับแก๊ปเด็กในร้านของผม ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับป้อนมากที่สุด ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นข่าวใหม่สำหรับแก๊ปเช่นเดียวกัน
“นายรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามแก๊ป หลังจากได้พูดคุยสอบถามกับคุณหมอจนแน่ใจว่าคนที่ยังนอนไม่ได้สตินั้นปลอดภัยรวมไปถึงเด็กในท้องด้วย
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับ” แก๊ปนั่งหัวคิ้วชนกันอยู่ข้างๆ
“นายกับป้อนเกี่ยวข้องกันยังไง”
“ผมเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของป้อนครับ แล้วบ้านเราใกล้กัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ป้อนชอบวิ่งมาเล่นบ้านผม เราก็เลยสนิทกัน”
“นายติดต่อพ่อกับแม่ของป้อนได้หรือเปล่า เรื่องนี้ผู้ใหญ่ควรจะรู้นะ” ผมมองเลยไปบนเตียงคนไข้มองดูใบหน้าขาวจนซีดของป้อน นึกไปถึงภาพต่างๆ แล้วรู้สึกกังวลในใจขึ้นมาเหลือเกิน
“ดูจากเหตุการณ์ลุงกับป้าคงรู้เรื่องนี้แล้ว ไม่อย่างนั้น...ป้อนมันคงไม่มาถึงที่นี่”
“หมายความว่ายังไง นายจะบอกว่าพ่อแม่ของป้อนรู้เรื่องนี้ แต่ก็ยังยอมให้ลูกมาลำบากแบบนี้น่ะเหรอ.....”
“พ่อแม่ของป้อนเป็นครูที่โรงเรียน พ่อของป้อนค่อนข้างเข้มงวด ป้อนไม่ค่อยได้ทำอะไรตามใจตัวเองนักหรอกครับ ผมคิดว่าพ่อแม่ป้อนคง...” ผมพอจะเดาอะไรออกลางลางๆ แล้วพยักหน้ารับรู้เพราะผมยังจำเสียงร้องไห้อันน่าเวทนาของป้อนได้
หลังจากที่ป้อนฟื้นขึ้นมาแล้วผมตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดว่ามันดีต่อตัวเด็กคนนี้ คือการบอกเลิกจ้างเพื่อหวังว่าป้อนจะทบทวนเรื่องการกลับบ้านเพื่อไปอยู่กับพ่อแม่ และผมคิดว่าเรื่องนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ควรผลักไสให้ลูกชายเพียงคนเดียวมาตกระกำลำบากเพียงแค่เพราะลูกถูกผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งหลอกลวง
ผมนั่งดูกล้องวงจรปิดภายในร้านเห็นว่าเด็กล้างจานตัวเล็กเข้ามาเก็บเสื้อผ้าซึ่งมันมีอยู่น้อยชิ้นจนผมอดสงสารไม่ได้ ผมฝากเงินค่าแรงซึ่งมากกว่าความเป็นจริงนิดหน่อยไปกับแก๊ปเพื่อหวังว่ามันจะช่วยให้ป้อนเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
“เห็นหน้าซื่อๆ ไม่คิดว่าจะร่านท้องตั้งแต่หัวยังเกรียนอยู่เลย”
“ไอ้แก๊ปมาถามหาคลีนิกทำแท้งกับกู”
“ก็น่าสงสารนะอายุเพิ่งสิบแปดดันมาท้องแบบนี้ แต่กูสงสารเด็กนะ”
“มึงจะเก็บเอาไว้ทำไมล่ะ เก็บไว้ก็เป็นภาระเปล่าๆ”
ผมนั่งฟังเสียงเด็กในร้านพูดถึงอดีตเด็กล้างจานของผมจนจับใจความได้ว่าแก๊ปกำลังคิดจะพาป้อนไปเอาเด็กออก คาดคั้นอยู่นานถึงได้รู้ว่าแก๊ปพาป้อนไปที่ไหน
ทุกการขยับของเข็มนาฬิกาซึ่งมันกำลังหมุนเดินไปข้างหน้าทำให้ผมรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก หวังว่าป้อนคงไม่ทำอะไรโง่ๆ ลงไป
“ฮืออออ ผมไม่ทำ ผมไม่อยากทำ” ร่างเล็กผอมบางของ เด็กล้างจานอายุน้อยวิ่งออกมาจากภายในห้อง ด้วยสภาพที่ยังอยู่ในชุดคลุมสีฟ้าหม่น เนื้อตัวสั่นเทา เสียงร้องไห้เหมือนคนเจ็บปวดเสียใจ อัดอั้นพรั่งพรูพูดร้องขัดขืนในสิ่งที่ขัดกับอุปนิสัยเนื้อแท้ส่วนตัว
“ฮือออ ผมไม่ทำ” ท่อนแขนเรียวเล็กโอบไปด้านหลังผมท่อนแขนเรียวเล็กกอดรัดผมแน่นเหมือนกลัวว่าจะมีใครมาฉุดกระชากให้กลับเข้าไปในห้องนรกนั้นอีก
“ไม่เป็นไรป้อน ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
“ผมไม่อยากทำ เขาไม่ได้ผิด ผมผิดคนเดียว ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมไม่ทำนะ” ป้อนเงยหน้าชื้นน้ำตาขึ้นมาร้องบอกผมน้ำตาไหลพรากอาบแก้มอย่างน่าเวทนา
“ตกลงไม่ทำ....”
“ฮือ...ผมไม่ทำ ผมไม่อยากทำ”
“ได้ไม่ทำ เราไม่ทำแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรแล้ว” ผมกอดปลอบเด็กอายุสิบแปดที่ยืนร้องไห้ปานจะขาดใจด้วยความเวทนา
ผมพาป้อนมาทิ้งไว้ที่คอนโดมิเนียมซึ่งผมซื้อทิ้งเอาไว้เมื่อปีก่อนแต่ไม่ค่อยมีโอกาสกลับมานอนเพราะกว่าร้านจะปิดมันก็ดึกมากและบางคืนผมก็เมาหรือเรียกเด็กให้ขึ้นมานอนด้วยจนชิน ห้องนี้จึงถูกผมทิ้งร้างเอาไว้เฉยๆ และจ้างแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น
ผมเปลี่ยนจากเฝ้าดูกล้องวงจรปิดที่ร้านมาเป็นดูกล้องวงจรปิดภายในคอนโด จนผมเริ่มมีความกังวลและอดเป็นห่วงเด็กล้างลานที่ผมทิ้งให้อยู่คนเดียวไม่ได้
“เขากำลังมีอาการซึมเศร้าอย่างหนัก คุณไม่ควรทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแบบนั้น” คุณหมอท่านหนึ่งบอกกับผมทันทีเมื่อเห็นพฤติกรรมของคนที่ผมทิ้งให้อยู่คนเดียวภายในคอนโดมาอาทิตย์กว่าแล้ว
ในทุกๆ วันป้อนจะใช้เวลาไปกับการนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ตรงระเบียง แม้ฝนจะตก แดดจะออกหรือดึกดื่นแค่ไหนเด็กหนุ่มอายุยังไม่เต็มสิบเก้าปีจะนั่งเหม่ออยู่แบบนั้นและบ่อยครั้งที่ผมต้องปิดหน้าจอ มือถือหนีเพราะทนเห็นภาพคนท้องล้มตัวลงไปนอนเกลือกกลิ้งร้องไห้ปานว่าจะขาดใจไขว่คว้าฝ่ามือไปในอากาศยามเมื่อเขาหลับตาเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
คืนนี้ฝนตกหนักที่ร้านมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่มากนัก ผมเปิดการเชื่อมต่อระบบกล้องวงจรปิดภายในคอนโดเพื่อดูว่าเด็กล้างจานของผมกำลังทำอะไรแต่สิ่งที่ผมเห็นมันทำให้ผมทนนั่งทำงานต่อไม่ได้จริงๆ
ภาพของเด็กหนุ่มร่างบางยืนนิ่งอยู่ตรงระเบียงห้องท่ามกลางสายฝนซึ่งตกลงมาอย่างหนัก เนื้อตัวเปียกหนาวสั่น ดวงตาเศร้าสร้อยนั้นเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“ป้อน”
“น้องคะ ชื่อคุณพ่อเด็กค่ะ” เสียงของพยาบาลสาวที่กำลังซักประวัติคนไข้เพื่อนำไปบันทึกเป็นประวัติกำลังทำให้ใบหน้าหวานสีขาวซีดแดงเป็นสีชมพูเข้ม ดวงตาเศร้าๆ กำลังมีม่านน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมา
“เนลสัน เนลสัน กิฟต์” ผมวางมือลงไปไว้บนไหล่บางซึ่งกำลังสั่นเกร็ง ก่อนที่คนตัวเล็กจะแหงนคอขึ้นมามองหน้าผม
หยดน้ำใสๆ กลิ้งตัวไหลออกมาเป็นทางไปตามหางตาคู่หม่นเรื่อยลงมาจนถึงใบหู ผมต้องใช้หลังมือรีบเช็ดมันทิ้งเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าที่คุณแม่อายุน้อยร้องไห้งอแง
“เด็กผู้ชายครับ อวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ดี” คุณหมอชี้ให้ผมกับป้อนมองภาพอัลตร้าซาวด์บนจอสี่มิติ
“เขา...เป็นเด็กผู้ชายเหรอครับ” ว่าที่คุณแม่อายุน้อยจับสายตามองภาพก้อนเนื้อเล็กๆ ซึ่งเริ่มมีรูปร่างบนจอนั้นนิ่ง
“ครับเด็กผู้ชาย แต่หมอแนะนำให้คุณแม่ทานข้าวให้เยอะกว่านี้หน่อยนะครับ ทานอาหารครบห้าหมู่ วันนี้เดี๋ยวหมอจ่ายยาบำรุงไปให้นะครับ”
การมาฝากครรภ์ครั้งนี้ทำให้ผมได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลว่าที่คุณแม่อายุน้อยหลายอย่างเพราะป้อนมีน้ำหนักตัวที่น้อยเกินไปและคุณหมอกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตใจของป้อนเพราะจากการเฝ้าสังเกตป้อนแสดงออกมาชัดเจนว่ามีภาวะซึมเศร้าอย่างหนัก เก็บตัว จนถึงขนาดปิดกั้นตัวเองจากทุกคน
ก่อนกลับผมแวะซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของใช้ ของกินหลายอย่างเพราะผมคิดว่าการปล่อยให้ป้อนอยู่คนเดียวในสถานการณ์แบบนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องดี
“เธอชอบกินแบบไหน” ผมยกนมผงแบบชงดื่มสำหรับคนท้องขึ้นมาแล้วยื่นไปให้คนที่กำลังท้องสี่เดือนเลือก
“ฮะ...ผมเหรอครับ”
“ใช่ เธอผอมเกินไปแล้วรู้ตัวมั้ย” ผมยื่นเอากล่องนมผงไปเคาะหัวคนท้องก่อนจะโยนมันใส่ลงไปในรถเข็นทั้งสองแบบเพราะคนท้องไม่ยอมตอบ ไม่ยอมเลือกว่าชอบกินแบบไหน ผมเลยคิดตัดสินใจซื้อมันไปทั้งสองอย่าง ผมแอบหันไปเห็นป้อนหยิบกล่องนมสำหรับบำรุงครรภ์นั้นขึ้นมาแล้วเอามันไปวางกลับคืนที่เดิมแล้วเข็นรถเดินตามหลังผมมา
“ป้อน กล่องนมเมื่อกี้ไปไหน”
“ผมเอากลับไปคืนแล้ว”
“เอาไปคืน เธอเอามันไปคืนทำไม ไปหยิบกลับมาเดี๋ยวนี้นะ” ผมยกมือขึ้นมายืนเท้าเอวมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างระอาใจในความคิดเยอะ คิดมากของเด็กคนนี้
“ไม่เอาผมไม่ซื้อนะ”
“ทำไม ไม่ชอบกินนมหรือยังไง”
“มันแพง...ผมไม่มีเงิน”
เป็นจริงอย่างที่ผมคิด เด็กนี่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายจริงๆ นี่ผมดูเป็นคนใจร้ายใจดำจนป้อนมองไม่ออกจริงๆ หรือว่าจริงๆ แล้วผมเป็นคนใจกว้างมากแค่ไหน
“ไม่ต้องห่วงฉันจะทยอยหักจากเงินเดือนเธอเอง” ผมแกล้งพูดเล่นแล้วเดินกลับไปหยิบนมสองกล่องนั้นมาโยนใส่ลงไปในรถเข็นตามเดิม
“ถ้าอย่างนั้นผมยิ่งไม่กินใหญ่เลย” ป้อนรีบหยิบนมกล่องขึ้นมาแล้ววิ่งเอามันกลับไปคืนที่เดิมอีกครั้ง
“ถ้าขัดใจฉันอีก ฉันจะลดค่าแรงเธอเหลือแค่วันละสองร้อยห้าสิบเข้าใจมั้ย”
ผมไม่ได้หยิบนมสองกล่องนั้นกลับใส่มาในรถเข็นแต่ต้องใช้คำว่าผมกวาดลงมาทั้งเชลล์ถึงจะถูก ในเมื่อดื้อนักก็คงต้องใช้ไม้แข็ง ผมอดขำไม่ได้เมื่อเห็นสายตาของคนขี้งกยื่นมองกล่องนมผงพวกนั้นด้วยความอึดอัด อาจจะเพราะกลัวว่าผมจะหักเงินเดือนจริงๆ
“คุณเนลสันครับ ห้าโมงเย็นแล้วนะครับ” เสียงคนที่เดินเข็นรถตามหลังผมมาตะโกนบอก ผมขยับข้อมือเพื่อดูเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดแล้วเดินไปหยิบน่องไก่ออกมาจากเชลล์วางสินค้าต่อไป โดยไม่ได้สนใจกับเวลาที่มันเดินไปเรื่อยๆ
“เธอหิวแล้วเหรอ”
“เปล่าครับ ผมหมายถึงคุณเนลสันไม่กลับไปที่ร้านเหรอครับ”
“วันนี้หยุด พักผ่อน” ผมอมยิ้มให้กับคนที่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงกิจการสีเทาของผมแล้วหันไปเลือกซื้อของสดอย่างอื่นต่อเพราะเมื่อเช้าผมลองไปเปิดตู้เย็นดูแล้วข้างในนั้นแทบจะกลวงโบ๋เพราะคนเฝ้าห้องของผมไม่ยอมใช้เงินเลย
“นั่นอะไร” ผมพยักหน้าไปยังห่อพลาสติกซึ่งภายในเป็นผักอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้จัก แต่เพราะแอบเห็นป้อนหยิบมันขึ้นมาพลิกไปพลิกมาในมือทำท่าลังเลเหมือนเจ้าตัวอยากได้แต่คงเสียดายเงินอีกเหมือนเดิม จึงหยิบวางๆ หลายรอบแล้ว
“ฟักแม้วครับ” คนตัวเล็กวางมันลงกลับไปที่เดิมแล้วเข็นรถเดินเข้ามาหาผม
“อร่อยเหรอ”
“ครับ แถวบ้านผมเอามาผัดกิน”
“น่าสนใจ เธอทำเป็นมั้ย” ผมเดินกลับไปแล้วหยิบผักรูปร่างแปลกตาขึ้นมาโยนใส่ลงไปในรถเข็น
“........” คนพูดน้อยไม่ได้ตอบแต่อมยิ้มเหมือนดีใจมากเมื่อเห็นไอ้เจ้าผักฟักแม้วอะไรนั่นลงไปนอนอยู่ในรถเข็น
“ถ้าอย่างนั้น เย็นนี้ก็หน้าที่เธอคือทำกับข้าวให้ฉันกิน”
กว่าจะซื้อของเสร็จก็ค่ำแล้ว ผมต้องสู้รบกับเด็กหนุ่ม จอมประหยัดที่ชอบแอบหยิบเอาของในรถเข็นออกจนในที่สุด ผมต้องไปแย่งบังคับเอารถเข็นมาเข็นเอง หลังจากกลับถึงห้องผมทิ้งให้คนที่อาสาจะทำกับข้าวให้ผมกินแสดงฝีมือ ส่วนตัวเองเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เสร็จหรือยังฉันหิวแล้ว” ผมเดินไปชะโงกหน้ามองกระทะซึ่งมีผัดผักที่ชื่อฟักแม้วใส่ไข่นอนอยู่ด้านในส่งเสียงฉู่ฉี่ส่งกลิ่นหอมน่ากิน
“คุณเนลสันชิมสิครับว่าอร่อยหรือเปล่า” พ่อครัวตัวเล็กใช้ช้อนตักของที่อยู่ในกระทะส่งมาให้ผมตรงหน้า
“โอ๊ยร้อน”
“ฮะ ฮะ ฮ่ะ แล้วทำไมคุณเนลสันไม่เป่าให้มันเย็นก่อนล่ะครับ” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสาปให้เป็นก้อนหินจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กล้างจานตรงหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยยิ้มของป้อน เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะอันสดใส ก็ในเมื่อเด็กคนนี้สามารถยิ้มได้หวานขนาดนี้ หัวเราะได้น่าฟังขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่ยอมระบายสีหน้าด้วยสิ่งเหล่านี้ให้ผมเห็นมาก่อนเลย
ผมอยากเห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง ผมอยากได้ยินเสียงหัวเราะนี้อีกสักหน แต่ทุกอย่างจางหายไปจากดวงหน้านั้นอย่างรวดเร็วหลงเหลือไว้เพียงดวงตาว่างเปล่ากับใบหน้านิ่งเฉยเหมือนอย่างเคย
“ป้อน” ผมวางมือทิ้งลงไปบนเรือนผมนุ่มแล้วขยับฝ่ามือช้าๆ คนตัวเตี้ยตรงหน้าแหงนเงยช้อนสายตาขึ้นมาหาผม
“ครับ”
“ยิ้มบ่อยๆ นะ”
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.