ตอนที่ 7 ความผิดพลาด
คุณเนลสันไม่ได้มาข้องแวะเกาะแกะให้ผมรู้สึกอึดอัดอีกนับตั้งแต่คืนวันนั้น ผมยังคงทำหน้าที่เป็นเด็กล้างจานกวาดร้าน ทำความสะอาดและมีขึ้นไปกวาดถูห้องนอนของคุณเนลสันอยู่ทุกวัน ความเป็นจริงที่ผมพบภายในห้องนั้นเตือนสติให้ผมเข้มแข็งและเข้าใจโลกกว้างใบนี้มากขึ้น
ห้องนอนของคุณเนลสันจะมีสภาพยับย่นยู่ยี่ทุกคืนและใน ถังขยะจะมีซากถุงยางอนามัยผ่านการใช้งานแล้วถูกทิ้งเอาไว้เสมออย่างน้อยก็ต้องหนึ่งหรือสองปลอกเกือบทุกวัน
“ป้อน คุณเนลสันให้ไปเอาผ้าปูที่นอนลงมาส่งซัก” รุ่นพี่คนหนึ่งเพิ่งเดินกลับลงมาจากชั้นสี่ก่อนจะยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดี
ผมรู้ว่ารอยยิ้มนั้นหมายถึงอะไร คงเพราะวันนี้เขาอาจจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการช่วยให้เจ้าของบาร์มีความสุข ผมเดินขึ้นไปบนชั้นสี่แล้วรื้อผ้าปูเตียงซึ่งมีคราบน้ำเหนียวๆ เปรอะอยู่หลายจุดออกแล้วไปหยิบเอาผ้าปูเตียงชุดใหม่มาเปลี่ยนปูให้เจ้าของห้อง
“ป้อน” เสียงทุ้มห้าวของเจ้านายฝรั่งซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยเรียกชื่อผม
“ครับ” ผมขานรับพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาจากการพยายามดึงผ้าปูที่นอนให้เรียบตึงที่สุด
“วันนี้ฉันจะออกไปซื้อของ เดี๋ยวเธอไปเช็กรายการของในครัว ที่ต้องซื้อเพิ่มให้ฉันด้วยนะ” คุณเนลสันยื่นกระดาษรายการของสดต่างๆ เหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนให้กับผม
“แล้วก็อย่าลืมหาอะไรกินก่อนล่ะ”
“ครับ”
ผมจัดการเปลี่ยนผ้าปูเตียงจนเรียบร้อยแล้วเข้าไปล้างห้องน้ำด้านในจนสะอาดเรียบร้อยแล้วจึงหอบเอาตะกร้าผ้าและชุดผ้าห่ม ผ้านวมทั้งหมดเพื่อนำมันไปส่งซักตามที่ได้รับมอบหมาย
บันไดทางเดินระหว่างชั้นสี่ลงไปชั้นสาม ผมใช้มันเดินขึ้น เดินลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ทำไมวันนี้มันถึงให้ความรู้สึกเหมือนผมเดินอยู่บนพื้นโคลนพื้นเลน มันอ่อนยวบโคลงเคลงจนผมจับทิศจับทาง ไม่ถูก ภาพทางเดินมืดๆ นั้นถูกตัดฉับหายวับไปจากประสาทการมองเห็นของผมเหลือไว้เพียงเสียงเรียกหาชื่อผมดังแว่วเข้ามาจากที่ไกลๆ
“ป้อน ป้อน”
“ไอ้ป้อน ฟื้นแล้วเหรอ”
“หืม...” ผมลืมตาขึ้นมาโดยมีหน้าของพี่แก๊ปลอยเด่นห่างออกไปเพียงไม่กี่ฝ่ามือ สีหน้าแววตาของพี่แก๊ปบึ้งตึงดูเหมือนกำลังโกรธเคืองอะไรผมอยู่
“พี่แก๊ป” ผมขยับตัวแล้วรู้สึกเจ็บแขนเจ็บขาระบมไปหมด ผมพยายามหันไปมองรอบตัวอย่างช้าๆ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างมันไม่คุ้นตา ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม และไม่ใช่ห้องหนึ่งห้องใดภายในบาร์แน่นอน
“อย่าเพิ่งลุกเลย มึงนอนนิ่งๆ ก่อน”
“ทำไมผมอยู่ที่นี่” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามกับรุ่นพี่ทันที
“มึงเป็นลมอีกแล้ว คุณเนลสันก็เลยพามึงมาส่งโรงพยาบาล” พี่แก๊ปพยักหน้าไปทางด้านหลังซึ่งมีเจ้านายฝรั่งนั่งอยู่บนโซฟาห่างออกไป
“...............” ผมหันไปมองเจ้านายฝรั่งซึ่งลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วขยับเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ใบหน้าของคุณเนลสันเรียบตึง เย็นชาจนผมรู้สึกกลัวไม่ต่างจากหน้าพี่แก๊ป
“เธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” คุณเนลสันตั้งคำถามกับผมเสียงเครียด
“.................” ผมก้มหน้าลงมาแล้วหลบสายตาดุของคุณ เนลสัน ความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างวิ่งแล่นขึ้นมาจุกอยู่ ตรงกลางอก
“ฉันถามว่าเธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” คุณเนลสันเริ่มคาดคั้นผมเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิม
“ผม.....” ผมรู้ความหมายของคำถามที่คุณเนลสันถามผมดี แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะเริ่มต้นที่จะพูดถึงสิ่งนี้จากตรงไหน
“ป้อน...ฉันไล่เธอออก กลับไปแล้วเก็บของออกไปจากร้านฉัน” เสียงของคุณเนลสันเครียดขรึมเย็นชาน่ากลัว
“คุณเนลสัน”
“ฉันให้เธอทำงานต่อไม่ได้แล้วป้อน”
“แต่ผมต้องทำงานนะครับ” ผมลุกขึ้นมาจากเตียงคนไข้พยายามส่งสายตาวิงวอนขอความเมตตาสงสารจากเจ้าของบาร์
“ไม่มีทาง...ฉันให้เธอทำงานที่นี่ไม่ได้แล้ว แก๊ปจัดการคนของนายด้วย” คุณเนลสันหมุนตัวแล้วหันหลังให้กับผมอย่างไม่ไยดี
มันเหมือนโลกใบแคบๆ ของผมถูกจำกัดบีบรัดให้มันเล็กลงกว่าเดิม จนเท้าเล็กๆ ของเด็กบ้านนอกซึ่งกำลังอับจนหนทางอย่างผมไม่มีแม้ที่จะยืนเหยียบ ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วทิ้งตัวลงไปกอดขาของคุณเนลสันซึ่งกำลังขยับเดินห่างออกไป
“คุณเนลสัน ผมขอโทษ ผมแค่อยากได้งานทำ”
“เธอจะไปทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่” คุณเนลสันก้มลงมามองผมตาดุ
“แต่ผมจะไปที่ไหน คุณเนลสันขอผมทำงานต่อนะครับ ผมทำงานได้ ผมอยากทำงาน ผมจำเป็นต้องทำ...อย่าไล่ผมออกนะ ผมขอร้อง” ผมซุกหน้าลงไปบนหัวเข่าแข็งๆ ของคุณเนลสันน้ำตาหยดโตไหลออกมาเปรอะเปียกเป็นรอยหยดน้ำตาบนเนื้อผ้ากางเกงยีนสีเข้ม
“แก๊ป...พาคนของนายออกไป” คุณเนลสันหันหน้าหนีออกไปจากผม พร้อมกับสะบัดขาเดินทิ้งผมไปโดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมามองดูเด็กล้างจานค่าแรงถูกๆ คนนี้อีกเลย
“พี่แก๊ป” ผมนั่งจมอยู่บนพื้นห้องเย็นเฉียบเงยหน้าซึ่งอาบไปด้วยน้ำตาขึ้นไปมองรุ่นพี่ที่ผมเคารพรัก
“ไอ้เหี้ยนั่นใช่มั้ย....มันใช่มั้ย” พี่แก๊ปยกมือขึ้นมาทึ้งเส้นผมบนหัวตัวเองแล้วเดินวนกลับไปกลับมาอย่างคนกำลังพยายามระงับสติอารมณ์
“..................” ผมใช้น้ำตาแทนคำตอบของคำถามที่ผมไม่อยากพูดถึงมัน
“กูบอกมึงแล้ว กูเคยเตือนมึงแล้วป้อนว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ทำไมมึงไม่ฟังกู ทำไมมึงไม่ฟังกู” พี่แก๊ประเบิดอารมณ์ใส่ผมจนเสียงดังลั่นห้อง
“ฮือออออ ผมขอโทษ...ผมขอโทษ ก็ผมยุ่งไปแล้วพี่จะให้ผมทำยังไง ผมทำไปแล้ว” ผมนั่งก้มหน้าร้องไห้ เห็นหยดน้ำตาตัวเองหยดไหลตกลงไปกระทบพื้นกระเบื้องยางสีอ่อนของโรงพยาบาล น้ำตาของคน ไร้ค่า น้ำตาของคนที่ไม่มีใครต้องการ น้ำตาของคนเหลือเดนถูกทิ้งขว้างเหมือนเศษอาหารเหลือๆ ในครัวที่ถูกเขี่ยทิ้งลงถังขยะ
“กูเตือนมึงมาตลอดป้อน ทำไมมึงไม่เชื่อกู ทำไม....”
“ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว”
“มันสายไปแล้วป้อน....มึงมาขอโทษตอนนี้มันก็สายไปแล้ว...สุดท้ายมันก็ทิ้งมึงเหมือนกับที่มันทิ้งกู มึงควรจะจำ มึงควรจะคิดได้ แล้วเอาความบัดซบในชีวิตกูเป็นอุทาหรณ์เอาไว้ดูเป็นตัวอย่าง มึงไม่เห็นเหรอว่ากูเจ็บเพราะมันขนาดไหน” พี่แก๊ปก้มลงมามองผม หยดน้ำตาใสๆ จากดวงตาคู่เศร้าของพี่แก๊ปเอ่อล้นหยดทิ้งลงมา อาบแก้มไม่หยุด
“พี่แก๊ป...ผมไม่มีใครอีกแล้วนะนอกจากพี่คนเดียว ผมไม่เหลือใครอีกแล้วจริงๆ” ผมเอื้อมมือลงไปจับข้อเท้าของรุ่นพี่โรงเรียนเก่า หวังยึดเอาพี่ที่ผมรักเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิต
“นี่ใช่มั้ยเหตุผลที่มึงมาหากู”
“พี่โกรธผมมั้ย พี่เกลียดผมหรือเปล่า ผมขอโทษที่ไม่เชื่อพี่ ขอโทษที่ผมมันโง่...ผมขอโทษ”
ผมพูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาเพราะมันคือสิ่งที่ดังสะท้อนอยู่ภายในใจของผมตลอดเวลา มันเป็นความรู้สึกในใจที่ผมทนเก็บเอาไว้มานานนับเดือน
“คนเราต่อให้ฉลาดแค่ไหน แต่ถ้าความรักมันบังตา มันก็สามารถทำเรื่องโง่ๆ กันได้ทั้งนั้นแหละป้อน กูไม่โกรธ ไม่เกลียดมึงหรอก เพราะกูเองก็เคยโง่ กูเองก็เคยถูกหลอก กูแค่เสียดายชีวิตมึง...มึงไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้” พี่แก๊ปพูดกับผมทั้งน้ำตาแล้วยื่นวางฝ่ามือลงมาบนหัวผมพร้อมกับลูบเบาๆ ผมพิงหัววางไว้กับท่อนขาของพี่แก๊ปเสียงสะอื้นเบาๆ ของเราสองคนดังสลับกันไปมาอยู่นานอีกหลายนาทีกว่าพี่แก๊ปจะเป็นฝ่ายดึงสติตัวเองกลับมาได้ก่อนผม
“พี่แก๊ปช่วยพูดกับคุณเนลสันได้มั้ย ให้ผมกลับไปทำงานที่ร้านต่อได้หรือเปล่า”
“กูก็อยากช่วยมึง แต่คุณเนลสันไม่เหมือนคนอื่น เขาคงไม่ยอมให้มึงอยู่ทำงานที่ร้านต่อหรอก”
“แต่ผมจำเป็นต้องทำงานหาเงินนะพี่แก๊ป”
“พ่อแม่มึงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” พี่แก๊ปลากแขนผมให้กลับขึ้นไปนั่งบนเตียงคนไข้ตามเดิม
“อืม” ผมพยักหน้ารับเบาๆ
“แล้ว....ไอ้เหี้ยนั่นมันรู้เรื่องนี้มั้ย มันรู้มั้ยว่ามึง...” คำถามพี่แก๊ปเงียบหายไปในลำคอแต่ผมรู้ว่าพี่แก๊ปกำลังจะถามอะไรกับผม
“ฮึก....ฮึก....ฮือออออ” คำถามของพี่แก๊ปเหมือนคมมีดกรีดลงมาผ่าอกแล้วควักเอาหัวใจของผมออกมาแล้วขว้างมันลงพื้นก่อนจะ ใช้เท้าขยี้ซ้ำ
“กูถามว่าไอ้เหี้ยนั่นมันรู้มั้ยว่ามึงท้องน่ะ” น้ำตาของพี่แก๊ปและผมที่เพิ่งจะแห้งสนิทลงต่างพรั่งพรูไหลลงมาเหมือนทำนบกั้นน้ำพัง
“รู้....”
“ไอ้สัด แล้วมันปล่อยให้มึงมาแบบนี้เหรอ”
“เขาบอกว่าไม่ใช่ลูกเขา.....” ผมทิ้งตัวลงไปหาแผงอกกว้างของพี่แก๊ปแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเกาะเหนี่ยวร่างหนานั้นเหมือนพี่แก๊ปคือขอนไม้กลางทะเลกว้าง คือสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวในชีวิตผมที่จะช่วยให้ผมมีชีวิตรอดท่ามกลางมรสุมร้ายครั้งนี้
“เมื่อก่อนมันเลวยังไง มันก็ยังคงเลวไม่เคยเปลี่ยน....ก็ดีในเมื่อมันไม่ต้องการ มึงก็ไม่ต้องเก็บ ไปเอามันออกซะ” ผมหายใจสะอึกเงยหน้าขึ้นไปหาพี่แก๊ปทันทีเพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“พี่แก๊ป...หมายความว่ายังไง”
“มึงจะเก็บไว้ทำไม ก้อนเลือดเหี้ยๆ ก้อนนี้ ชีวิตมึงยังฉิบหายไม่พออีกเหรอ”
“ไม่เอา ป้อนไม่อยากทำเขา” ผมยกมือลงไปวางไว้บนหน้าท้องนูนเล็กๆ ของตัวเอง มันคือความผิดพลาดของผม เพราะความโง่ของผมแล้วจะให้ผมโยนความผิดนี้ไปให้ชีวิตเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้ยังไงกัน
หลายเดือนก่อนผมได้มีโอกาสรู้จักรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งรับเป็น ติวเตอร์ช่วยติววิชาสำหรับเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย “พี่เวย์” เคยเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของผมและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ใน คณะวิศวกรรมศาสตร์อันดับต้นๆ ของจังหวัดและด้วยความเป็นรุ่นพี่จึงอาสามาช่วยติวให้กับรุ่นน้องอย่างพวกผม
พี่เวย์เป็นคนหล่อ เรียนเก่ง คุยสนุกและคอยเข้ามาดูแลเอาใจใส่ผมเสมอ จนในที่สุดพี่เวย์มาสารภาพกับผมว่าชอบผม มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกสำหรับเด็กหัวเกรียนซึ่งกำลังเรียนเทอมสุดท้ายในชั้นมัธยมปลายและกำลังจะก้าวเข้าไปอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มันคงดี ไม่น้อยถ้าผมมีแฟนเป็นรุ่นพี่เรียนคณะเดียวกัน ทุกอย่างเป็นเหมือนความฝันสีชมพูอันหอมหวาน
ผมเดินหลงเข้าไปตามคำบอกรักอันพร่ำเพรื่อและผมเชื่อมันจนสนิทใจ โดยไม่ได้สนใจคำพูดเตือนของใครหลายคนที่บอกกับผมว่า รุ่นพี่ที่แสนดีคนนี้มีเขี้ยวเล็บแหลมคมซุกซ่อนอยู่และหนึ่งในนั้นคือคำเตือนของพี่แก๊ป
กว่าผมจะหายโง่ตาสว่างเนื้อตัวของผมก็ฟอนเฟะเละไปด้วยบาดแผล เน่าเหม็นเป็นที่รังเกียจเพราะหลงเชื่อคำว่ารัก เพราะหลงอ่อนไหวกับคำของคนหลอกลวง มันทำให้ผมเดินหลงไปติดบ่วงผูกมัดรัดจนผมเกือบตาย ผมยอมให้ผู้ชายคนนี้ทุกอย่างที่เขาร้องขอ ยอมทุกอย่างที่เขาต้องการ
“อย่ามาล้อเล่นนะป้อน ไปท้องกับใครมาใช่ลูกพี่จริงๆ เหรอ เรานอนกันแค่ครั้งเดียวเองนะ ป้อนกลับไปนึกดูดีๆ ว่าไปนอนกับใครมาบ้าง อย่ามาใช้วิธีสกปรกแบบนี้แล้วคิดจะมาจับพี่ง่ายๆ พี่ไม่หลงกลหรอกนะจะบอกให้”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินออกมาจากปากผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยพร่ำพูดว่ารักผมและพร้อมจะอยู่เคียงข้างผม พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตผมหากผมยอมนอนกับเขา
ผมแบกเอาความเจ็บ ความผิดหวัง ความเสียใจ ความกลัว ทุกอย่างกลับมาบ้านเพื่อหวังว่าผมจะได้รับการให้อภัยในความผิดพลาด แต่สิ่งที่ผมได้รับคือความเกรี้ยวกราดของพ่อและเสียงตัดพ้อของแม่ว่าเสียแรงส่งให้ผมเรียนหนังสือแต่ผมกลับทำให้ทุกคนผิดหวัง บทลงโทษของลูกไม่รักดีอย่างผมคือการถูกพ่อแม่เฆี่ยนตี ตัดพ้อด่าทอแล้วจับขังไว้ในห้องนอน และถูกปฏิบัติราวกับผมเป็นนักโทษรอวันประหาร
“ไปเอามันออก” คำตัดสินของพ่อเหมือนสายฟ้าผ่าฟาดลงมาในใจผม
“พ่อ...แต่ป้อนไม่อยากทำ”
“มึงจะเก็บเอาไว้ประจานตัวเอง ประจานพ่อแม่มึงหรือยังไง พรุ่งนี้มึงไปเอามันออก ถ้ามึงไม่เอาออก มึงจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ” ฟางเส้นสุดท้ายของผมขาดสะบั้นลงในคืนวันนั้นที่ผมตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วหนีมากรุงเทพ เพื่อมาหาที่พึ่งสุดท้ายของผมซึ่งก็คือพี่แก๊ป
“มึงจะเก็บไว้ทำไม ก้อนเลือดเหี้ยๆ ก้อนนี้ ชีวิตมึงยังฉิบหายไม่พออีกเหรอป้อน”
“ฮืออออ พี่แก๊ปป้อนไม่อยากทำ”
“แต่มึงต้องทำ!”
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.