ตอนที่ 10 ความลับ
Part Nelson
ผมนั่งมองดูคนร่วมโต๊ะมื้อค่ำตักอาหารใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อยป้อนดูมีความสุขขึ้นกว่าเมื่อช่วงกลางวัน ตอนที่ผมพาไปนั่งกินข้าวในร้านอาหารราคาแพง ผัดผักฟักแม้วใส่ไข่ธรรมดาๆ ที่ราคาไม่ได้แพงอะไรเลย แต่มันกลับทำให้ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มอายุน้อยดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับเด็กคนนี้ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่วัตถุนิยมเหมือนคนอื่นๆ แต่เด็กคนนี้กำลังโหยหาอะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่มันมีคุณค่าต่อหัวใจดวงเล็กๆ และเปราะบางดวงนี้
หลังมื้อค่ำป้อนทำหน้าที่เป็นเด็กล้างจานเหมือนเคยพร้อมกับเก็บกวาดจัดห้องครัวอย่างเรียบร้อย ผมออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงคอนโด แล้วยืนมองไปตามองศาสายตาที่ผมเคยเห็นป้อน มองออกไปบ่อยๆ จากกล้องวงจรปิด แต่ผมมองอยู่นานก็ไม่เห็นว่ามันมีอะไรนอกจากความมืด
แคก แค่ก แคก ผมสะดุ้งแล้วรีบดับบุหรี่ในมือทิ้งทันที เมื่อว่าที่คุณแม่เปิดประตูออกมายืนอยู่ด้านหลังผม
“ป้อน เธอออกมาทำไม”
“ผมชินแล้วครับ ผมขอออกมายืนแป๊ปเดียวแล้วจะกลับเข้าไป”
ป้อนเดินมายืนเกาะราวระเบียงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา สายตาเศร้าๆ ยังคงมองทอดออกไปเหมือนเคย ผมมองตามสายตานั้นและยังไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรอย่างอื่น จนกระทั่งผมสังเกตเห็นฝ่ามือเล็กๆ เริ่มบีบราวระเบียงห้องของผมแน่น จนเส้นเลือดสีอ่อนบนหลังมือผอมๆ ปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด สันกรามบนกรอบหน้าขึ้นเป็นสันเมื่อ มีอะไรบางอย่างขยับเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดบนพื้นดินเบื้องล่าง ขบวนรถไฟ?
ใบหน้าเรียวบางเอี้ยวเหลียวหันไปตามเส้นทางของขบวนรถไฟซึ่งค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปจนมันหายลับไปจากสายตา ใบหน้านั้นจึงได้ก้มลงพร้อมกับน้ำตาหยดเล็กๆ ร่วงเผาะลงมา
“ป้อน”
“ครับ” เด็กหนุ่มรีบเช็ดน้ำตาแล้วขานรับผมทันที
“เธอมีโทรศัพท์มือถือหรือเปล่า ฉันจะได้ขอเบอร์โทรเอาไว้แล้วโทรกลับมาหาเวลาที่ฉันไปทำงานที่ร้าน”
“เอ่อ..มีครับแต่ผมไม่ได้ใช้มันมาสักพักแล้ว” ป้อนเงยหน้าขึ้นมาหาผม ถึงน้ำตาจะแห้งไปแล้วแต่นัยน์ตาคู่นี้ยังฉายเงาสะท้อนของความหม่นหมองออกมาตลอดเวลา
“แล้วทำไมไม่เอาออกมาใช้ล่ะ”
“สายชาร์ตของผมมันพังนะครับ อีกอย่าง.....ผมไม่รู้จะใช้มันโทรหาใคร....แล้วก็คงไม่มีใคร...อยากโทรหาผมด้วย” เสียงของคนตัวเล็กค่อยๆ แผ่วลงเรื่อยๆ เพราะมันสั่นเครือเจือปนความเศร้าจนผมปวดหัวใจไปหมด
ผมพอจะเดาออกว่าเป็นเพราะอะไรและอยากช่วยทำให้ความคิดสีเทาของคนอายุน้อยตรงหน้ากลับมาสดใสอีกครั้ง ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของผมออกมาส่งให้ป้อนทันที
“กดเบอร์โทรของเธอแล้วบันทึกเอาไว้ในเครื่องของฉัน แล้วไปเอาโทรศัพท์ของเธอตามเข้าไปในห้องฉันด้วย” ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนรออยู่เพียงสองสามนาที ป้อนจึงเดินตามเข้าไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือและสายชาร์ตที่มีร่องรอยของการช็อตไหม้จนไม่สามารถใช้งานได้ ผมเปิดลิ้นชักรื้อดูสายชาร์ตโทรศัพท์รุ่นเก่าที่ผมเคยใช้แล้วเลือกดูรุ่นเดียวกับโทรศัพท์ของป้อนก่อนจะยื่นส่งให้
“ลองเสียบชาร์ตดูว่าใช้ได้หรือเปล่า”
“ขอบคุณครับ” ป้อนยกมือขึ้นมาแล้วไหว้ผมเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด คนตัวเล็กเอื้อมมือมาหยิบมันไปพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้าแล้วนั่งลงบนพื้นข้างเตียงเสียบสายชาร์ตต่ออย่างรวดเร็ว
“ได้แล้ว” รอยยิ้มจากริมฝีปากบางฉีกกว้างออกจากกันจนเห็นไรฟันสีขาวเรียงตัวสวยน่ามอง
“เตรียมตัวจะนอนแล้วเหรอ กินนมหรือยัง?”
ผมเอ่ยถามคุณแม่ท้องสี่เดือนที่นั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือตัวเองตาไม่กะพริบ โทรศัพท์มีภาพโลโก้ของแบรนด์หรูขึ้นแสดงบนหน้าจอผมชำเลืองสายตา เพื่อดูรหัสการปลดล็อกเครื่องของคนที่ไม่ได้เงยหน้ามามองดูผมซึ่งกำลังพยายามขโมยความเชื่อใจไปจากป้อน ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ให้กับการตั้งรหัสปลดล็อกของเด็กอายุสิบแปดที่ยังอ่อนต่อโลกเหลือเกิน
“ยังครับ ผมไม่ได้กิน” ป้อนก้มหน้าปลดล็อกโทรศัพท์แต่ปากตอบคำถามผมไปด้วย
“แล้วทำไมไม่กินฉันอุตส่าห์ซื้อมาให้ ลุกขึ้นไปชงนมแล้วหยิบเอาสมุดบันทึกสีชมพูเข้ามาหาฉัน” ผมดุให้กับเด็กดื้อ
ผมใช้เวลาระหว่างที่ป้อนลุกหายไปจากห้องเพื่อชงนมดื่มในห้องครัว รีบจัดการเปิดโทรศัพท์ส่วนตัวของป้อนเพื่อต้องการดูข้อมูลอะไรบางอย่าง สิ่งที่ผมเฝ้าสงสัยและต้องการหาความกระจ่าง
“บ้าจริง...”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกผลักเข้าไปติดอยู่ในห้องแคบๆ ไร้แสงสว่างและไร้อากาศหายใจ เด็กหนุ่มอายุน้อยเพียงสิบแปดปีต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายมามากมายขนาดนี้เชียวหรือ
ผมจัดการกับข้อมูลต่างๆ ภายในโทรศัพท์ของป้อนแล้วนำมันกลับไปวางเอาไว้ที่เดิมทันกับเสียงฝีเท้าเบาๆ ของคนตัวเล็กซึ่งเดินกลับเข้ามาในห้องผมอีกครั้ง
“กินสิถืออยู่ทำไม” ผมพยักหน้าไปทางนมแก้วใหญ่ซึ่งว่าที่ คุณแม่ถือมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงผมส่วนตัวเองลงไปนั่งบนพื้นห้องเหมือนเดิม
“คุณเนลสันจะคิดเงินผมจริงๆ เหรอครับ” คนขี้งกมองนมแก้วใหญ่แล้วหันมาถามผม
“นี่เธอคิดว่าฉันใจดำขนาดนั้นเลยหรือยังไง” ผมถอนหายใจให้กับความขี้งกของคนท้อง
“ก็ผมไม่มีเงินนี่...”
“เอาล่ะๆ กินฟรี...ไม่คิดเงิน ไม่หักเงินสักบาทสบายใจหรือยัง” ผมยื่นมือไปยีผมของเด็กวัยรุ่นหัวเกรียนซึ่งตอนนี้ผมของป้อนเริ่มยาวมากขึ้นจนดูแทบไม่ออกแล้วว่ามันเป็นผมทรงนักเรียนมัธยม
“ไม่คิดเงิน แน่นะครับ”
“อืมไม่คิด...สมุดบันทึกล่ะ”
ผมยื่นมือไปหยิบสมุดบันทึกการฝากครรภ์มาจากมือบาง ด้านในนั้นมีโบชัวร์โปรแกรมการคลอดแบบต่างๆ เหน็บติดเอาไว้หลายแผ่น ผมเหลือบตาลงไปมองใบหน้าเศร้าๆ ของคนที่เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองผมตาแป๋วแล้วคิดเดาอ่านใจเด็กคนนี้ต่อทันที
“น้ำหนักเธอน้อยเกินไปแล้วนะ ต้องกินข้าวให้เยอะกว่านี้ รู้หรือเปล่า” ผมกวาดสายตามองตารางการเทียบน้ำหนักต่างๆ และดูตารางนัดหมายของหมอในครั้งถัดไปด้วย
“ครับ”
“ไม่ใช่แค่ครับอย่างเดียว เธอต้องดูแลตัวเอง...แล้วนมนั่นจะกินได้หรือยัง”
“ผม....”
“ป้อน...ฉันจ้างเธอห้าสิบบาทกินนมเดี๋ยวนี้” ผมคว้ากระเป๋าเงินตัวเองซึ่งวางอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นมาแล้วควักเงินออกมาจาก ในกระเป๋าเป็นธนบัตรใบละห้าสิบบาทหนึ่งใบ
“จ้างผมกินนมเหรอครับ”
“จะเอามั้ยล่ะ”
“...................” คนงกไม่ได้ตอบแต่รีบคว้าแก้วนมมาดื่มหลายอึกใหญ่จนหมดแก้วในทันที
“ฮึ...” ผมหัวเราะแล้วยื่นเงินห้าสิบบาทเป็นค่าจ้างให้กับคนตัวเล็กตรงหน้า
“เธอจะคลอดแบบไหนดูเอาไว้หรือยัง” ผมหยิบแผ่นโบชัวร์นั้นมาพลิกดูแล้วเห็นมีใบหนึ่งค่อนข้างยับเหมือนมีการพลิกเปิดอ่านบ่อยครั้งกว่าแผ่นอื่น ผมกวาดตาอ่านมันคร่าวๆ แล้วดูราคาเทียบกับแผนอื่นๆ เห็นว่าแบบนี้เป็นโปรแกรมเหมาจ่ายซึ่งราคาถูกที่สุด
“ครับ ผมดูแบบนี้เอาไว้” คนตัวเล็กชะเง้อคอขึ้นมาแล้วจิ้มนิ้วชี้ลงมาให้ผมดูแผ่นโบชัวร์ซึ่งผมถือเอาไว้ในมือ ตรงพื้นที่ว่างเล็กๆ ในนั้นผมเห็นมีรอยปากกาเขียนเหมือนเด็กนักเรียนทดเลขเอาไว้แล้วผมรู้ทันทีว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
จำนวนตัวเลขค่าแรงที่ผมตกลงว่าจ้างให้ป้อนเฝ้าคอนโดนี้คูณไว้ด้วยจำนวนเดือนของอายุครรภ์ที่เหลือพร้อมเลขบวกลบอีกสองสามจำนวน เด็กคนนี้กำลังพยายามรวบรวมตัวเลขให้ได้มากพอสำหรับการพาเอาเจ้าตัวเล็กออกมาลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยที่สุด
“อืม...โปรแกรมนี้ก็ดีไม่แพงมาก” ผมพยักหน้าช่วยออกความคิดเห็น
“ครับ”
“แล้วเก็บเงินพอแล้วหรือยัง” ผมพลิกกระดาษไปมาเพื่ออ่านรายละเอียดคร่าวๆ ต่อไป
“ยังเลยครับ ยังขาดอยู่อีก” คนตัวเล็กมีสีหน้ากังวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ค่อยๆ เก็บไปยังพอมีเวลาอีกหลายเดือน คืนนี้ดึกแล้วไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ามาปลุกฉันด้วยส่วนสมุดบันทึกนี้ฉันจะเก็บเอาไว้ให้ ถ้าเธอต้องไปหาหมอครั้งหน้าแล้วสามารถทำให้ตัวเองมีน้ำหนักได้ตามเกณฑ์ฉันจะจ่ายเงินพิเศษเพิ่มให้เธอสามพันบาทตกลงมั้ย” ผมเคาะนิ้วลงไปบนตารางน้ำหนักของว่าที่คุณแม่ที่ควรจะเป็นให้ป้อนดู
“จ่ายเงินพิเศษให้ผมเหรอ” คนขี้งกตาโตทันที
“ใช่....เพราะฉะนั้นเธอต้องกินเยอะๆ ถ้าอยากได้เงินสามพันจากฉัน” คุณแม่ขี้งกทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมามองผม
“ผมต้องไปหาหมออีกสองอาทิตย์แล้วผมจะกินยังไงให้น้ำหนักผมขึ้นตั้งเกือบสิบกิโล”
ผมพลิกเปิดดูตารางนัดแล้วพลิกกลับมาดูน้ำหนักตัวของป้อนอีกครั้ง ป้อนมีปัญหากับน้ำหนักตัวจริงๆ เวลาแค่สองสัปดาห์คงไม่พอสำหรับการบำรุงให้คุณแม่ตัวเล็กคนนี้น้ำหนักขึ้นพรวดพราดแบบนั้น
“ถ้าอย่างนั้นกิโลละพัน ว่ายังไง” ผมยื่นข้อเสนอใหม่ทันที
“ค่อยมีความเป็นไปได้หน่อย ก็ได้ครับ”
ผมเปิดลิ้นชักแล้วหย่อนสมุดบันทึกสีชมพูลงไปด้านใน คนที่นั่งอยู่บนพื้นค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นมาแล้วยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ฝ่ามือเล็กๆ วางทาบลงไปบนหน้าท้องตัวเองนิ่งค้างแข็งไม่ยอมขยับ
“ป้อนเป็นอะไรหรือเปล่า”
“คุณเนลสัน อันนี้คืออะไรลูกผมดิ้นเหรอ” ป้อนมีสีหน้าตกใจแล้วยืนค้างนิ่งอยู่กับที่
ผมรวบดึงเอวของเด็กน้อยให้ขยับเข้ามาใกล้แล้วแนบแก้มตัวเองแตะลงไปตรงหน้าท้องนูนนั้นเบาๆ ฝ่ามือพยายามลูบแตะคลำไปบนช่วงลำตัวผอมบางจนเอวกิ่วเหลือเล็กนิดเดียว ภายในพุงเล็กนั้นลักษณะอาการเหมือนมีอะไรบางอย่างขยับเบาๆ เบาจนแทบจับสัมผัสไม่ได้หากไม่สังเกตจริงๆ
ผมยิ้มให้กับเสื้อยืดสีซีดเก่าๆ ของคนท้องที่ยืนนิ่งยอมให้ผมแนบแก้มเอาไว้ ส่วนตัวเองวางมือข้างหนึ่งไว้บนหัวไหล่ผมส่วนอีกข้างก็พยายามคลำลูบไปทั่วหน้าท้องตัวเองเหมือนกัน
“ลูกดิ้นแล้วเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้ว่าที่คุณแม่วัยรุ่น
ผมเปิดลิ้นชักแล้วพลิกหน้ากระดาษในสมุดเล่มสีชมพูอ่านข้อมูลต่างๆ อย่างรวดเร็วโดยมีคุณแม่มือใหม่พยายามเอามือแตะไปบนหน้าท้องตัวเองเหมือนต้องการความแน่ใจ หรือบางทีอาจจะอยากสัมผัส อยากรับรู้การเคลื่อนไหวเมื่อครู่อีกครั้ง
“สี่เดือนครึ่งน่าจะใช่ เธอเจ็บหรือเปล่ารู้สึกยังไงบ้าง” ผมดึงให้คนที่กำลังมีอาการตื่นเต้นลงมานั่งข้างๆ
“ไม่เจ็บครับ ผม...” เสียงพูดนั้นถูกกลืนหายไปในลำคอ
เสี้ยววินาทีหนึ่งผมเห็นใบหน้าอ่อนวัยนั้นแย้มยิ้มอย่างมีความสุข แต่อีกไม่กี่วินาทีถัดมารอยยิ้มนั้นกลับจางหายไปเหลือไว้เพียงม่านน้ำตาใสๆ เอ่อออกมาจนเกือบล้น ใบหน้าสีขาวซีดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู ปลายจมูกแดงขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าคุณแม่ตัวเล็กเริ่มจะงอแงอีกแล้ว
“บางทีลูกอาจจะชอบกินนม เธอต้องกินนมเยอะๆ กินข้าวเยอะๆ เจ้าตัวเล็กจะได้แข็งแรง”
รอยยิ้มนั้นฉายปรากฏมาบนใบหน้าเรียวเล็กอีกครั้ง ป้อนเดินเอามือทำท่าอุ้มพุงตัวเองแล้วเดินยิ้มออกจากห้องผมไปโดยลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ที่หัวเตียงและผมตั้งใจที่จะไม่ทักท้วงเพราะต้องการรู้อะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่ป้อนพยายามปกปิดมันจากทุกๆ คน
ผมลุกขึ้นเดินไปล็อกประตูห้องแล้วกลับมานั่งบนเตียงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของป้อนมาปลดล็อกแล้วเริ่มค้นหาสิ่งที่ผมต้องการอีกครั้ง เพียงห้านาทีผมก็ได้ในสิ่งที่ป้อนซ่อนเอาไว้
“ป้อน”
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.