ตอนที่ 6 ของหวง
ผมขยับเปลือกตาอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกง่วงงุนเหมือนคนนอนไม่เต็มที่ อันที่จริงมันไม่ใช่แค่คำว่า “เหมือน” หากจะพูดว่าผมแทบไม่ได้นอนเลยก็ไม่เกินจริงนักเพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา กว่าคุณสเตฟานจะยอมปล่อยให้ผมนอนมันก็เกือบจะเช้าวันใหม่แล้ว
ลูกค้าของผมอารมณ์ความต้องการมากเสียเหลือเกิน ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าพี่แม็กซ์กับไอ้เพียวสองคนนั้นทำไมถึงยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ แถมยังออกจะติดอกติดใจพ่อฝรั่งดุ้นใหญ่คนนี้ จนพี่แม็กซ์ถึงกับออกอาการหวงแหนอย่างออกนอกหน้า
แต่ก็นับว่าโชคดีที่คุณสเตฟานไม่ได้ใช้ความรุนแรงหรือเล่นพิเรนทร์ป่าเถื่อน อาจจะมีบ้างบางจังหวะเมื่อเวลาใกล้ถึงจุดสุดยอดซึ่งอารมณ์ของคุณสเตฟานจะเร่าร้อนเป็นพิเศษ
ถ้าหากไม่นับขนาดซึ่งไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ยังคง “ใหญ่เกินไป” สำหรับผม การยอมรับให้คุณสเตฟานเป็นลูกค้า มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิดและตอนนี้มันทำให้ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมไอ้เพียวถึงได้ติดใจเพ้อหาคุณสเตฟานไม่ยอมหยุด
ผมต้องนอนคว่ำเพื่อป้องกันไม่ให้บั้นท้ายรับน้ำหนักมากจนเกินไปเพราะลูกค้าคนแรกของผม เมื่อคืนนี้ทำเอาผมช้ำไปทั้งตัว แขน ขา หลัง ไหล่ ปวดระบมจนแทบขยับแข้ง ขยับขาไม่ได้
“โอ๊ยยยยย”
ผมขยับตัวตะแคงใช้ส่วนสะโพกด้านข้างช่วงพยุงและรองรับน้ำหนักตัวในขณะกำลังพยายามลุกขึ้นจากเตียง ห้องนอน สีขาวสะอาดตาถูกปิดทึบด้วยผ้าม่านเนื้อหนาจนแสงแดดสว่างจ้าจากข้างนอกนั้นส่องเข้ามาด้านในไม่ได้จึงเห็นเป็นเพียงเงารางๆ จนยากเกินจะเดาว่าตอนนี้มันเป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว
อะไรบางอย่างสะดุดสายตาผมตรงตำแหน่งหัวเตียง บนถาดแก้วใบหรู ซึ่งเมื่อคืนนี้มันเคยมีซองถุงยางอนามัยหลากสีวางอยู่ด้านบน แต่เวลานี้ซองสีสวยเหล่านั้นถูกหยิบออกไปใช้งานจนหมดแล้ว เหลือไว้เพียงกระดาษสองแผ่นถูกวางทิ้งเอาไว้โดยมีนาฬิกาหรูเรือนคุ้นตาวางทับไว้อีกที
กระดาษแผ่นแรกเป็นเช็คเงินสดมูลค่าหนึ่งแสนบาท สำหรับเป็นค่าตัวผมเมื่อคืนที่ผ่านมา จำนวนเงินมันเยอะจนผมต้องนั่งอ่านทวนมันอยู่หลายรอบเพราะผมไม่เคยคิด ไม่เคยคาดหวัง เลยว่าการผันตัวเองมาเป็นเด็กขายในคืนแรกผมจะได้ค่าตอบแทนมากมายขนาดนี้
ส่วนกระดาษใบที่สองเป็นใบแจ้งหนี้มูลค่าห้าล้านบาทสำหรับนาฬิกาที่ผมกระชากหลุดออกจากข้อมือคุณสเตฟานเมื่อคืน แถมหน้าปัดของมันยังแตกละเอียดเข็มวินาทีหลุดไปขัดกับเข็มยาวที่เหลือจนมันเดินต่อไม่ได้
“ห้าล้านเลยเหรอ นาฬิกาอะไรวะเนี่ยแพงฉิบหาย” ผมนั่งหมดแรงจนลุกจากที่นอนไม่ไหวเมื่อเห็นยอดหนี้ที่ตัวเองต้องจ่าย
ผมกวาดสายตาไปรอบห้องไม่เห็นเจ้าของนาฬิกาแม้แต่เงา ผมขยับหย่อนขาลงไปแล้วลองทิ้งน้ำหนักตัวลงไปเพื่อพยุงพาตัวเองไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างไปประมาณห้าเมตร จากสภาพร่างกายสังขารกะปลกกะเปลี้ยของผมตอนนี้เหมือนผมกำลังเดินขึ้นเขาไม่มีผิด ทุกย่างก้าว ทุกกิจกรรมมันเจ็บแสบปวดร้าว ระบมไปหมดทั้งตัว
เสื้อผ้าของผมถูกจับใส่ไม้แขวนเอาไว้หน้าตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ สภาพและกลิ่นเหมือนมันถูกซักรีดมาใหม่อย่างแน่นอนเพราะกลิ่นหอมๆ นี้ไม่ใช่จากเหงื่อผมเมื่อคืนแน่ ผมจัดการอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดเดิมแล้วเดินกลับออกมายังห้องรับแขกด้านนอก บอดี้การ์ดในชุดดำคนเมื่อคืนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ด้านหน้า จนเมื่อผมเดินออกมาถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาผม
“ตื่นแล้วเหรอ คุณสเตฟานให้ฉันไปส่งเธอที่ห้อง”
บอดี้การ์ดหน้าคุ้นเอ่ยปากพูดกับผม แววตาเรียบเฉย ไร้อารมณ์ความรู้สึก นี่คงเป็นหน้าที่ประจำของเขาที่ทำมันจนชิน ผมเหลือบตาลงไปมองนาฬิกาข้อมือของบอดี้การ์ดเสื้อดำแล้วต้องตกใจเมื่อตอนนี้มันเกือบจะบ่ายสี่โมงแล้ว นี่ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยอย่างนั้นเหรอ
“เอ่อ...ผมกลับเองก็ได้ครับ”
“กลับไหวเหรอ” บอดี้การ์ดหน้าดุพูดเรียบๆ แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของผมซึ่งมันถูกโยนทิ้งเอาไว้ตรงโซฟาตั้งแต่เมื่อคืนมาส่งให้
“เอ่อ...” ผมก้มหน้ารู้สึกอายเหลือเกินแต่จะทำอะไรได้ในเมื่อผมเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง
“ไปเถอะ ยังไงฉันก็ต้องไปส่งเธออยู่แล้ว”
“ครับ ขอบคุณครับ” ผมพยักหน้ายกมือขึ้นมาเกาคอแก้เขินแล้วหันหน้าเดินไปทางประตูหน้าห้อง
“โอ๊ยยย” ผมเผลอหลุดร้องครางออกมาเพราะรู้สึกเจ็บตรงส่วนบั้นท้ายเพราะฝีมือเจ้านายฝรั่งคนที่อาสาจะไปส่งผม
“เดินไหวหรือเปล่า”
“ไหวครับ” ผมรู้อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่พี่คนนี้คงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั้งเพราะคงจะชินแล้ว
“ค่อยๆ เดินช้า” คนหน้าดุคว้ากระเป๋าสะพายของผมไปพาดไว้บนบ่าแขนข้างหนึ่งดอบลงมาช่วยประคองผมให้เดินต่อ
“ขอบคุณครับ”
“พี่ชื่ออะไรเหรอครับ ผม...เห็นพี่หลายแล้วครั้งแต่ไม่เคยถามเลย” ผมชวนบอดี้การ์ดที่มักเห็นยืนอยู่ข้างกายคุณสเตฟาน ทุกครั้งที่เจอพูดคุยเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดและเพื่อทำให้บรรยากาศรถติดอันแสนน่าเบื่อนี่มันผ่อนคลายลงบ้าง
“ทัช”
“เอ่อ...พี่ทัชครับ” ผมหันไปชำเลืองมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ
“มีอะไร”
“นาฬิกาของคุณสเตฟาน...มันแพงมากขนาดนั้นจริงเหรอ” ผมล้วงซากนาฬิกาออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วยื่นไปตรงหน้าพี่ทัช ซึ่งเพียงแค่ชำเลืองหางตามองลงมาแวบหนึ่ง
“เรือนนี้คุณสเตฟานเพิ่งซื้อมาเธอทำมันพังเหรอ”
“เอ่อผมไม่ได้ตั้งใจ...มันเป็นอุบัติเหตุ แล้วในนี้คุณสเตฟานบอกว่ามันราคาห้าล้าน พี่ทัชช่วยเอาเช็คนี่ไปคืนคุณสเตฟานให้ผมที บอกคุณสเตฟานว่าผมไม่มีเงินห้าล้านหรอกเอาไปหนึ่งแสนก่อนได้มั้ยส่วนที่เหลือผมจะ.....”
“ถ้าเธอจะคืนเช็คหรือคืนซากนาฬิกานี่ เอาไว้รอให้เจอ คุณสเตฟานอีกครั้งค่อยเอาคืน ส่วนเรื่องค่าเสียหายเธอก็ต้องต่อรองเอง ฉันพูดแทนเธอไม่ได้หรอก” พี่ทัชเหลือบตาหันมามองผมนิดหน่อย
“แล้วถ้าสมมุติว่าผมจะเอาเช็คนี่ไปแลกเป็นเงิน ผมเอาไปที่ธนาคารได้เลยใช่มั้ยครับ” ผมขยับกระดาษแผ่นเล็กในมือไปมาช้าๆ แล้วนึกถึงรายจ่ายค่าเทอมของน้องๆ ขึ้นมาทันที
อย่างน้อยเงินหนึ่งแสนบาทนี่มันก็มากพอที่ผมจะส่งกลับไปเป็นค่าเทอมและค่าอุปกรณ์การเรียนของน้องๆ ได้ ส่วนหนี้สินค่าเสียหายผมอาจจะขอต่อรองกับคุณสเตฟานดูอีกที
“พรุ่งนี้เธอเอามันไปขึ้นเงินได้เลย วันนี้มันเย็นมากแล้วธนาคารไม่รับขึ้นเช็ค” พี่ทัชหันมาอธิบายให้คนบ้านนอกโง่ๆ ที่เพิ่งเคยได้รับเช็คเป็นครั้งแรกอย่างผมฟัง
“อ่อ...อย่างนั้นเหรอครับ” ผมก้มลงมองกระดาษแผ่นเล็กอีกครั้งแล้วสอดมันเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋าตามเดิม
ฝนห่าใหญ่กระหน่ำเทลงมาก่อนที่รถยนต์คันหรูจะจอดลงตรงหน้าหอพัก ผมต้องกลั้นใจฝืนร่างกายวิ่งฝ่าสายฝนไปทั้งๆ ที่ความจริงแทบจะก้าวขาไม่ออก
โครม! ผมยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าประตูลิฟต์ก็ถูกมือใครบางคนกระชากคอเสื้อแล้วลากผมไปตามทางเดินซึ่งเวลานี้ไร้ผู้คน ก่อนจะจับผมโยนเข้ามาทางบันไดหนีไฟ
“พี่แม็กซ์”
ผมถอยไปยืนชิดแผ่นหลังลงไปกับกำแพงปูนเย็นเฉียบ สายตากวาดมองหน้าผู้ชายผิวขาวร่างสูงโปร่งซึ่งเป็นถึงดาวเด่นเบอร์หนึ่งของบาร์ ส่วนผู้ชายหน้าเหี้ยมอีกสองคนนั้นผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ดูจากลักษณะท่าทางแล้วเหมือนพวกนักเลงตามทวงหนี้เงินกู้นอกระบบไม่มีผิด
“นี่มันอะไรครับ”
“เมื่อคืนมึงสนุกมากหรือเปล่า...เมื่อคืนมึงมีความสุขมากหรือเปล่า”
ผลัวะ! ผมเห็นแค่ฝ่ามือของพี่แม็กแวบๆ ผ่านหน้าไป แล้วหลังจากนั้นมันก็ตามมาด้วยอาการชาบนใบหน้าตรงข้างแก้มกับรสเค็มปะแล่มๆ ตรงมุมปาก จากนั้นหนังหัวของผมก็ระบมเจ็บจี๊ดขึ้นมาเมื่อฝ่ามือของพี่แม็กจิกทึ้งดึงเส้นผมกระชากงัดใบหน้าซึ่งมันชาไปครึ่งซีกให้เงยขึ้นไปหาอีกครั้ง
“นี่มันอะไรพี่...ปล่อยผมนะ” ผมคว้ามือของพี่แม็กซ์ที่กำลังจิกหัวผมแล้วออกแรงทุบกำปั้นลงไปบนข้อมือหนานั้นแรงๆ
“กูเตือนมึงหลายครั้งแล้วนะไอ้เหี้ยแก๊ป ว่าอย่ามายุ่ง กับคุณสเตฟาน ทำไม...มึงอยากมากนักหรือไง กูถามว่ามึงอยากเอากับเขามากนักหรือไง” พี่แม็กซ์ตะคอกพร้อมกับจิกทึ้งดึงฝ่ามือจนหนังหัวผมแทบหลุด
“โอ๊ยพี่ผมเจ็บ ผมเปล่านะ...” ผมยกกำปั้นทุบลงไปรัวๆ เพื่อต้องการจะสู้กลับแต่เพียงแค่ผมง้างมันลอยขึ้นไปในอากาศ ผู้ชายอีกสองคนซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็พุ่งเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างของผม ล็อกเอาไว้จนขยับไม่ได้ กำปั้นแข็งๆ ของรุ่นพี่เบอร์หนึ่งของบาร์ทุบเปรี้ยงลงมาตรงโหนกแก้มตามด้วยหัวเข่าแข็งๆ กระทุ้งเข้ากลางลำตัวของผมจุกจนต้องงอตัวนอนขดลงไปกับพื้นทางเดินเย็นเฉียบ
เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ด้านนอก พร้อมกับสายฝนที่มันเทลงมาอย่างหนักเหมือนต้องการซ้ำเติมผมให้จมดิ่งลงสู่ความอัปยศ ของคนไร้หนทางสู้ ผมนอนตัวสั่นเพราะความเจ็บระบมจมกองตีนพี่แม็กซ์จนลุกไม่ขึ้น
“มึงฟังกูให้ดีๆ นะไอ้เหี้ยแก๊ป ครั้งนี้กูแค่สั่งสอน อย่าเสือกยุ่งกับคนของกูอีก ถ้ามึงยังกล้าไปเอากับผัวกูอีก ครั้งหน้ากูจะเอาไอ้ขี้ยามารุมโทรมมึงให้เหมือนหมาข้างถนนเลยจำใส่หัวมึงเอาไว้”
พี่แม็กซ์ใช้พื้นรองเท้าผ้าใบราคาแพงเหยียบลงมาซ้ำบนหน้าของผม กดจนแก้มซึ่งปวดระบมนั้นแนบไปกับพื้นปูนฝุ่นเขรอะก่อนจะหันไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมันหล่นออกมาจากกระเป๋าสะพายของผมขึ้นไปดู
“หนึ่งแสน....หนึ่งแสนเชียวเหรอ มึงเอากันกี่ท่า มึงนอนกันกี่ที คุณสเตฟานถึงจ่ายให้มึงมากขนาดนี้”
จากเดิมที่พี่แม็กซ์ทำท่าเหมือนจะเดินจากไป ตอนนี้ฝ่าเท้าซึ่งเหยียบผมเอาไว้เมื่อครู่รัวเตะใส่ผมอย่างไม่ยั้ง เนื้อตัวซึ่งยังเจ็บระบมจากลูกค้าคนพิเศษจนแทบก้าวขาไม่ออก ตอนนี้เมื่อมันโดนหลังเท้าหนักๆ ของพี่แม็กซ์เตะซ้ำๆ มันทำให้ผมไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปากร้องขอให้อีกฝ่ายหยุด
พี่แม็กรัวหลังเท้าเตะผมอย่างบ้าคลั่งจนคนเตะเองเหนื่อยจนยืนหอบก่อนจะหันมาถ่มน้ำลายทิ้งไว้บนหน้าผม แล้วจึงเดินทิ้งไป ผมนอนสำลักเลือดกำเดาตัวเองอยู่บนพื้นทางเดิน สายตามองเห็นเพียงเศษกระดาษสีขาวใบเล็กๆ ถูกฉีกจนป่นปลิวกระจายไปตามแรงลมฝนจากภายนอกที่พัดผ่านเข้ามา แขนขาไม่มีแม้แต่แรงจะขยับ
ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลพร้อมกับเพื่อนร่วมหอพักคนหนึ่ง ซึ่งเล่าให้ฟังว่าเห็นผมนอนสลบอยู่ตรงชั้นลอยของทางขึ้นบันไดเลยช่วยพาผมมาส่งโรงพยาบาล
หลังจากหมอตรวจอาการและผมยืนยันว่าจะกลับไปนอนพักที่ห้องเพราะเสียดายเงินค่าห้องในโรงพยาบาลที่แพงเสียยิ่งกว่าโรงแรม ผมกลับมาห้องสิ่งแรกที่ทำคือล้มตัวลงนอนคว่ำหน้าระเบิดเสียงร้องไห้อัดไปกับหมอนหนุนเก่าๆ ของตัวเอง
“อ๊ากกกก ฮือ ฮึก อ๊ากกกก”
ผมไม่รู้ว่าผมเสียเวลา เสียน้ำตาไปมากแค่ไหน ปลอกหมอนเก่าๆ ของผมแฉะไปด้วยน้ำตาและผมรู้สึกปวดหัวเหมือนมันจะระเบิด
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นติดๆ กันหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมไม่มีแก่ใจแม้จะเหลียวหันไปมองดูว่าใครเป็นคนโทรเข้ามาหาผม อาจจะเป็นน้องสาวโทรมาเพื่อย้ำเตือนไม่ให้ผมลืมเงินค่าเทอมของน้องๆ หรือเป็นพ่อ แม่ หรือใครสักคนคงมีเรื่องเดือดร้อนอยากให้ผมโอนเงินกลับไปให้ แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
อากาศภายในห้องซึ่งปกติมันร้อนอบอ้าวเพราะห้องนี้ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกหนาวจนถึงกระดูก ผมขดตัวซุกไปใต้ผ้าห่มผืนบางแล้วนอนฟังเสียงฝนตกปนเสียงสะอื้นของตัวเองจนผล็อยหลับไป
ปัง! ปัง! ปัง!
“ไอ้เหี้ยแก๊ป ไอ้แก๊ป ตายห่าหรือยังเปิดประตูให้กูหน่อย” ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเหมือนมีคนกำลังพยายามพังประตูหน้าห้องของผม
บ่ายสอง...นี่ผมนอนหลับยาวข้ามมาอีกวันหนึ่งเลยอย่างนั้นเหรอ ผมหอบสังขารอันแสนทุเรศของตัวเองไปเปิดประตูห้องให้ไอ้เพียวที่กำลังยืนทุบประตูหน้าห้องของผมอยู่เพราะเกรงใจเพื่อนร่วมหอพักเพราะเสียงโวยวายของไอ้เพียว
“ไอ้เหี้ยแก๊ป มึงโดนเหี้ยอะไรมาเนี่ย” ไอ้เพียวยืนตาเหลือกอยู่หน้าห้องก่อนจะทำท่าลนลานรีบเข้ามาในห้องของผม
“เปล่า” ผมพยายามขยับปากบวมเจ่อเพราะฤทธิ์กำปั้นของพี่แม็กซ์ซึ่งรัวกระแทกใส่ปากผมไม่ยั้ง
“นี่คุณสเตฟาน เอามึงหนักขนาดนี้เลยเหรอ” ไอ้เพียวทำท่าสยดสยองใส่ผม
“เปล่า...แล้วมึงมาทำไม” ผมเดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเบาๆ เพราะร่างกายทุกส่วนร้าวระบมจนแจกไม่ออกว่าเจ็บตรงไหน ปวดตรงไหนกันแน่
“ก็...กูเห็นมึงไม่ไปทำงาน กูโทรหามึงเกือบทั้งคืน มึงก็ไม่รับสายกูเลย คุณโอลิเวอร์เลยให้กูมาดูมึงเนี่ย”
แชะ! เสียงไอ้เพียวกดชัตเตอร์โทรศัพท์มือถือแล้วกดพิมพ์ข้อความอะไรบางอย่างลงไปในโทรศัพท์เครื่องใหม่ของมันรัวจนมือแทบพันกัน
“มึงทำอะไรวะ”
“ก็รายงานคุณโอลิเวอร์ไง มึงไม่รู้เหรอว่าเด็กขายถ้าเกิดออกไปรับงาน แล้วถูกลูกค้าทำทารุณกลับมา ร้านเรามีบริการตามไปกระทืบลูกค้าให้ฟรีนะเว้ย...แต่แปลกจังปกติคุณสเตฟานไม่เคยรุนแรงขนาดนี้นี่หว่า มึงไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าเขาถึงได้กระทืบมึงหน้าแหกมาขนาดนี้”
“ก็กูบอกเปล่าไง...”
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง เสียงข้อความในโทรศัพท์ไอ้เพียวเข้ารัวเป็นปืนกล จากนั้นตามมาด้วยเสียงโทรศัพท์เป็นเสียงเรียกเข้าดังขึ้นแทนเสียงข้อความ
“ครับคุณโอลิเวอร์...อ่อ ผมอยู่หอไอ้แก๊ปครับ ครับ ครับ ครับ ครับ” ผมได้ยินมันพูดตอบรับแค่คำว่าครับ ก่อนที่มันจะหันหน้ามาหาผมช้าๆ หลังจากที่มันกดวางสายจากคุณโอลิเวอร์ไปแล้ว
“แก๊ป...ใครทำมึงวะ” ไอ้เพียวกดหัวคิ้วเข้าหากันแล้วถามผมทันที
“กูง่วงอ่ะ เพลียด้วยกูขอนอนก่อนได้มั้ยวะ” ผมก้มหน้าดึงผ้าห่มบางมาคลุมขาเพื่อหลบสายตาของเพื่อนสนิท
“ไอ้แก๊ปมึงตอบกูมาก่อนว่าใครทำมึง...”
“เพียวกูเหนื่อย ขอกูพักนะ”
ผมล้มตัวลงนอนหันหลังให้เพื่อนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว ก่อนจะหลับตาลงแล้วทำความรู้สึกเหมือนคนที่พร้อมจะหลับลึกโดยไม่คิดอยากจะตื่นลืมตาขึ้นมาอีก
“ไอ้แก๊ป มึงอย่าเพิ่งนอนลุกมาคุยกับกูก่อน ใครทำมึงบอกกูมาสิ ไอ้แก๊ป...”
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.