ตอนที่ 3 เด็กขาย
“ไอ้เหี้ยแก๊ปมานี่เลย”
ไอ้เพียวลากแขนผมลงไปนั่งข้างมันทันทีเมื่อผมก้าวขาเข้ามาภายในห้องแต่งตัวของวันถัดมา
“อะไรของมึง” ผมถามเพื่อนวัยเดียวกันพร้อมกับรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ หลายคู่ที่มองผมมาจากรอบห้อง
“เมื่อคืนมึงไปเอากับคุณสเตฟานมาเหรอ” ไอ้เพียวถามผมอย่างตรงไปตรงมา ตรงเสียจนผมทำหน้าไม่ถูก
“เปล่า...กูแค่ไปนั่งดริ๊งเฉยๆ”
“เปล่าเหี้ยอะไร เขาคุยกันให้แซดว่าเมื่อคืนมึงขายให้ คุณสเตฟาน”
“กูไม่ได้ขาย คุณสเตฟานแค่เรียกกูไปนั่งรินเหล้าให้เฉยๆ”
“แค่นั้น?” ไอ้เพียวขมวดคิ้วทำหน้าไม่เชื่อผม
“อืม...แค่นั้น”
“กูไม่อยากจะเชื่อว่าคุณสเตฟานจะปล่อยมึงให้รอดกลับออกมาได้ เป็นไปได้ยังไงวะ”
โครม! มือของใครบางคนคว้าคอเสื้อผมกระชากขึ้นมาจากเก้าอี้ก่อนจะเหวี่ยงไปกระแทกกับล็อกเกอร์เสียงดังสนั่นลั่นห้องแต่งตัว เพื่อนพนักงานคนอื่นต่างยืนนิ่งไม่มีใครกล้าขยับเข้ามาขวางดาวบาร์เบอร์หนึ่งอย่างพี่แม็กซ์แม้แต่คนเดียว รวมไปถึงไอ้เพียวที่มันได้แต่ยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ด้านข้าง
“พี่แม็กซ์...ใจเย็นก่อนพี่” ไอ้เพียวพูดกับพี่แม็กซ์เบาๆ พร้อมกับยื่นมือมาแตะแขนของรุ่นพี่ตัวท็อป
“มึงอย่าเสือกไอ้เหี้ยเพียว” พี่แม็กซ์หันไปตวาดไอ้เพียว จนมันผงะหงายหลังยืนอ้าปากค้างอยู่ข้างๆ ไม่ได้ห่างไปไหน
“พี่แม็กซ์นี่มันอะไรครับ”
“อย่าให้กูเห็นมึงขึ้นไปที่ชั้นสองอีกไม่อย่างนั้นมึงเจ็บตัวแน่” พี่แม็กซ์เหวี่ยงผมทุ่มลงบนพื้น โดยที่ผมยังไม่ทันได้อ้าปากอธิบายอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะพี่” ผมเงยหน้าขึ้นไปรีบอธิบายกับรุ่นพี่ทันทีเพราะไม่อยากมีปัญหา
“มึงอย่ามาแก้ตัว กูเคยเตือนมึงแล้วใช่มั้ยไอ้แก๊ปเรื่อง คุณสเตฟานน่ะ” พี่แม็กซ์พุ่งเข้ามาคว้าคอผมบีบอย่างแรงจนอากาศมันแทบจะผ่านเข้าปอดผมไม่ได้
“แต่ผมแค่ไปนั่งดริ๊ง รินเหล้าแล้วก็ดื่มเป็นเพื่อนคุณ สเตฟานเฉยๆ มันไม่มีอะไรเลยนะครับ”
“ไม่ว่าจะรินเหล้า แดกเหล้า แม้แต่เฉียดแค่เงา...ก็อย่าเสือกเข้าไปห้องนั้นอีก”
พี่แม็กซ์ผลักผมไปกระแทกกับล็อกเกอร์อีกครั้ง ดวงตาแข็งๆ กับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้นเคืองผมอย่างหนัก
“จำใส่หัวมึงเอาไว้อย่ายุ่งกับคนของกู” พี่แม็กซ์จิ้มกดปลายนิ้วชี้พุ่งเข้ามากลางหน้าผากผมก่อนจะเดินจากไป
“ซวยแล้วมึงไอ้แก๊ป” ไอ้เพียววิ่งมานั่งคุกเข่าพยุงผมลุกขึ้นจากพื้นห้อง
“ซวย...มึงหมายความว่าไงนี่ยังไม่ซวยอีกเหรอวะ” ผมหันไปถามไอ้เพียวทันที
“ก็พี่แม็กซ์เขาเป็นเด็กประจำของคุณสเตฟาน เขาเอากันมาจนหลับตายังแทงถูกรูเลย แล้วมึงมายุ่งกับดุ้นรัก ดุ้นหวงของพี่แม็กซ์เขาแบบนี้” ไอ้เพียวยกนิ้วขึ้นมาจิ้มใส่หน้าผากผมด้วยอีกคน
“แต่กูยังไม่ได้ทำอะไรนี่”
“คุณสเตฟานเรียกมึงขึ้นไปบนห้องขนาดนั้น มึงคิดว่าเขาจะปล่อยให้มึงพ้นมือเขาไปได้นานแค่ไหน”
“กู...คงไม่ขึ้นไปแล้วล่ะ มึงวางใจเถอะ กูไม่แย่งคุณสเตฟานของมึงหรอก”
ผมลุกขึ้นแล้วหันไปมองสู้สายตาของพนักงานคนอื่นๆ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกอย่างผมคิด ผมทำตามหน้าที่เด็กดริ๊งธรรมดาและผมเองไม่เคยคิดแย่งแขก ไม่คิดแย่งลูกค้าของใครทั้งนั้น
“ถ้าคุณสเตฟานเป็นของกูจริง กูจะเอาเขาใส่พานมาวางให้มึงเลย แต่นี่กูก็แค่เด็กขายป่าววะ เขาจ่ายเงินซื้อ กูก็แค่บริการทำให้เขาพอใจ มึงไม่ต้องมาห่วงกู มึงห่วงตัวเองเถอะ”
“แต่กูไม่ได้ขาย กูไม่ได้มีอะไรกับเขาจริงๆ นะ”
“เฮ้อ...มึงก็ระวังตัวแล้วกันมึงคงเห็นแล้วนะว่าเจ้าที่ เจ้าทางแถวเนี่ยมันแรง”
ไอ้เพียวส่ายหัวหันไปทางประตูห้องแต่งตัวซึ่งพี่แม็กซ์เพิ่งเดินพ้นออกไปและผมเข้าใจความหมายที่ไอ้เพียวต้องการจะสื่อดี นี่สินะเบื้องหลังแววตาเย็นยะเยือกที่ผมได้รับมาจากพี่แม็กซ์ตลอดมาตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่ ที่แท้เพราะสาเหตุนี้นี่เอง
“แก๊ป” ผมเดินออกมาเจอกับคุณโอลิเวอร์ระหว่างทางเดินไปขึ้นเวทีเพื่อโชว์ตัว
“ครับ”
“เมื่อคืนได้ข่าวว่าเธอเข้าไปในห้องแดง” คุณโอลิเวอร์ยืนจ้องหน้าผม สายตาราบเรียบจนผมเดาอารมณ์ความรู้สึกไม่ออก
“เอ่อ...เมื่อคืนคุณสเตฟานแค่เรียกให้ผมไปดื่มเป็นเพื่อนน่ะครับ มันไม่มีอะไรจริงๆ นะครับ” อีกครั้งที่ผมต้องพยายามอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฉันไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าวันไหนเธออยากลองย้ายขึ้นไปทำงานในห้องนั้นก็บอกแล้วกัน” คุณโอลิเวอร์ส่งยิ้มสุภาพให้กับผม
“คงไม่ล่ะครับ ผม...อยู่ข้างล่างนี่ก็ดีแล้ว ขอบคุณครับ”
ผมเดินแยกจากคุณโอลิเวอร์แล้วเดินตามรุ่นพี่คนอื่นๆ ขึ้นไปบนเวทียกสูงเพื่อเดินโชว์ตัวรอบแรกเหมือนทุกวัน รุ่นพี่บางคนที่เก่งและกล้าหน่อยจะเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกเพื่อทำให้ตัวเองเป็นที่น่าสนใจและช่วยดึงดูดสายตาของลูกค้าซึ่งทำให้ได้ทั้งดริ๊ง ได้ทั้งทิปลูกค้าคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เดินมาด้านหน้าเวทีแล้วยืนส่งยิ้มให้กับผมพร้อมกับแจ้งผู้จัดการร้านซึ่งยืนคุมคิวอยู่หน้าเวทีจากนั้นจึงกวักมือเรียกผมให้ลงไปหาเป็นสัญญาณว่าคืนนี้ผมมีลูกค้าแล้วอย่างน้อยหนึ่งโต๊ะ หนึ่งคน ผมเดินพาลูกค้าไปนั่งโต๊ะเลือกเครื่องดื่มมิกเซอร์และชวนพูดคุยตามปกติ
คืนนี้ดีกว่าคืนก่อนเพราะผมได้ทิปจากลูกค้าหน้าใหม่รายนี้ยัดใส่กระเป๋ามาหลายพัน หลังจากผมส่งลูกค้าเสร็จผมตัดสินใจกลับหอพักเลยเพราะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะมึนนิดๆ เพราะดื่มกับลูกค้าไปหลายแก้ว
ผมออกมายืนรอแท็กซี่ได้แค่ไม่กี่นาทีรถยนต์หรูหราคันคุ้นตาแล่นปราดมาจอดเทียบฟุตบาทข้างหน้าผมพร้อมกับกระจกรถ ซึ่งลดต่ำลง โดยมีหน้าไอ้เพียวโผล่ออกมาแทน
“มึง ขึ้นรถ”
“ฮะ...” ผมจ้องหน้าถามไอ้เพียวแล้วมองเลยเข้าไปด้านในรถซึ่งด้านหลังมีผู้ชายตัวโตอีกสองคนนั่งอยู่ข้างๆ
“มึงจะฮะทำไม กูบอกให้ขึ้นรถเร็วๆ”
ไอ้เพียวเปิดประตูรถลงมาแล้วตรงฉุดมาแขนพร้อมกับจับหัวผมกดยัดใส่เข้าไปด้านในจนได้ ด้านหน้านั้นมีการ์ดชุดดำทำหน้าที่ขับรถหนึ่งคน ส่วนด้านข้างเป็นบอดี้การ์ดหน้าดุในชุดฟอร์มเหมือนกันที่ผมคุ้นตาดี เบาะหลังที่ไอ้เพียวมันจับผมใส่เข้ามาถึงมันจะกว้างขวางแต่ก็เล็กเกินกว่าผู้ชายสี่คนจะนั่งเบียดกัน
“นั่งได้มั้ยมึง มานั่งตักกูก็ได้” ไอ้เพียวตบมือลงบนหน้าขาตัวเองเสียงดังแปะๆ
“เอ่อ...กู”
“นั่งนี่สิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับท่อนแขนโอบมาทางด้านหลังแล้วยกผมขึ้นไปวางไว้บนตักเจ้าของรถคันใหญ่ แขนข้างหนึ่งของ คุณสเตฟานเกี่ยวเอวไว้จนผมขยับไม่ได้ ส่วนอีกข้างคว้าหมับยึดข้อมือของผมไปถือเอาไว้เหมือนต้องการบอกให้รู้ว่าไม่ต้องการให้ผมลุกหนีไปจากตักกว้าง
“เอ่อ...นี่มันอะไรกัน” ผมหันไปหาไอ้เพียวด้วยความไม่เข้าใจ และอดไม่ได้ที่จะหันไปอีกด้านซึ่งมีพี่แม็กซ์นั่งคอแข็งทำตาดุส่งมาให้ผม
“พอดีกูบอกคุณสเตฟานว่าหอมึงอ่ะเป็นทางผ่านโรงแรม ที่พวกกูจะไป คุณสเตฟานก็เลยให้รับมึงขึ้นรถไปด้วย”
“แต่กูกลับเองได้” ผมถลึงตาใส่ไอ้เพียวรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ อย่างบอกไม่ถูก
“กลับกับฉันไม่ดีตรงไหน” เสียงคุณสเตฟานดังชิดติดอยู่ข้างใบหูจนผมต้องขยับเอียงหน้าถอยห่างออกมา
“ก็ไม่...อ๊ะ!” ผมสะดุ้งแล้วรีบตะปบมือลงไปบนข้อมือหนาซึ่งมีนาฬิกาเรือนหรูสวมอยู่เพราะมันกำลังค่อยๆ ขยับล้วงเข้าไปใต้ชายเสื้อยืดของผม
“แก๊ปคืนนี้อยากไปสนุกด้วยกันมั้ย” เจ้าของข้อมือเอ่ยถามผมโดยไม่สนใจคู่นอนอีกสองคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่ครับ” ผมขยับพยายามเบี่ยงดึงตัวเองให้ออกห่างจากการเอนหลังไปพิงแผงอกร้อนๆ
ไอ้เพียวหันมายิ้มให้ผมก่อนจะยกคางตัวเองมาเกยบนไหล่ของคุณสเตฟานซึ่งหันหน้ามาแลกจูบใส่กันต่อหน้าต่อตาผมห่างไปเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ เสียงประกอบของริมฝีปากทั้งสองคู่เมื่อออกแรงประกบจูบดูดแลกลิ้นกันตรงหน้าทำเอาผมนั่งอ้าปากค้างตัวชาไม่กล้าขยับ
“อื้อ...” พริบตาเดียวภาพของไอ้เพียวถูกตัดหายไปจากสายตาผม แต่กลับเป็นดวงตาคู่สีน้ำตาลกับรสชาติหวานแปลกๆ แทรกผ่าน เข้ามาในโพรงปากของผมแทน คุณสเตฟานย้ายจูบจากไอ้เพียวเลี้ยวมาหาผมโดยไม่เปิดโอกาสให้คนที่ยังนั่งงงเพราะไม่เคยเห็นฉากจูบจริงในระยะประชิดได้ตั้งตัว
ผมยกกำปั้นขึ้นมาทุบลงบนแผงอกของคนที่กดล็อกคอผมไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหน อากาศที่เคยสูดเข้าสูดออกหายใจได้สะดวกเวลานี้มันถูกดูดกลืนหายไปจนผมต้องดิ้นทุรนทุรายจนเผลอไปคว้ามือของคนที่นั่งตัวแข็งอยู่ด้านข้าง พี่แม็กซ์จับบีบฝ่ามือใส่ผมแรงจนกระดูกแทบแตก
กึก!
“โอ๊ย!” คุณสเตฟานร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับผลักผมออกมาให้ห่างตัว มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาจับมุมปากซึ่งเวลานี้มีเลือดไหลซึมออกมาเพราะผมเองที่ใช้ฟันกัดมันลงไปเมื่อครู่
“ไอ้เหี้ยแก๊ป มึงทำอะไรเนี่ย” ไอ้เพียวนั่งตาเหลือกมองผมสลับกับคุณสเตฟานเหมือนมันเองก็ทำอะไรไม่ถูก ส่วนพี่แม็กซ์กระชากตัวผมลงมาจากตักของ คุณสเตฟานจนเต็มแรงก่อนจะผลักให้ผมไปนั่งชิดติดกับประตูรถด้านหนึ่ง ส่วนตัวเองขยับไปนั่งดูแผลให้หนุ่มฝรั่งตัวโตแทนที่นั่งผมเมื่อครู่
ผมนั่งหันหน้าออกไปทางกระจกมองดูถนนของกรุงเทพในช่วงเวลาเกือบจะตีหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าคุณสเตฟานแต่เงาสะท้อนรางๆ จากกระจกรถทำให้ผมเห็นว่าด้านหลังนั้นมีสายตาสามคู่กำลังสลับกันหันมามองแผ่นหลังของผมอยู่
ทันทีเมื่อรถยนต์คันใหญ่จอดลงตรงริมถนนด้านหน้าหอพัก ผมเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปด้านในทันทีโดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมามองดูรถที่ขับมาส่งผมแม้แต่นิดเดียว
“โทรศัพท์?”
ผมถอดกางเกงยีนของตัวเองออกเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำแต่เมื่อคลำไปตรงกระเป๋าหลังกลับไม่พบโทรศัพท์มือถือซึ่งผมมักจะใส่มันเอาไว้ ผมนั่งรื้อกระเป๋าสะพายจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ
“ตกบนรถอย่างนั้นเหรอวะ?”
ผมนั่งทึ้งหัวตัวเองจนเจ็บหนังหัวไปหมดเพราะความสะเพร่าไม่ระวังตัว ผมไม่อยากเฉียดเข้าใกล้คุณสเตฟานอีก แต่นี่ผมดันเผลอไปทำโทรศัพท์ตกเอาไว้แบบนั้น ขอให้ไอ้เพียวเป็นคนเก็บได้แล้วเอามาคืนผมทีเถอะ
“ไอ้แก๊ป ไอ้เพื่อนเวรมึงมานี่เลย” ไอ้เพียวลากแขนผมออกมาทางประตูหลังตรงจุดทิ้งขยะ ของร้านและเป็นพื้นที่ให้พนักงานส่วนใหญ่ออกมาสูบบุหรี่
“เจอมึงพอดี มึงเห็นโทรศัพท์กูมั้ย เมื่อคืนมันตกอยู่ในรถคุณสเตฟานหรือเปล่า”
“อืม แต่คุณสเตฟานเก็บไป เขาฝากกูมาบอกมึงว่าถ้าอยากได้ก็ให้ไปเอากับเขาเอง” ไอ้เพียวมองหน้าผมพร้อมกับคิ้วเรียวหนาของมันที่วิ่งเข้าหากัน
“มึงขอคืนให้กูหน่อยนะ กูไม่อยากเจอเขา...”
“ไอ้แก๊ป กูพูดกับมึงแบบตรงๆ เลยนะ....มึงยอมๆ เขาไปเถอะ”
“มึงหมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายความว่า ไม่ว่ายังไงมึงก็หนีเขาไม่พ้นหรอก กูว่ามันอาจจะดีกว่าถ้ามึงยอมนอนกับเขาไปซะ"
“แต่กูไม่อยาก...”
“ไอ้แก๊ป มึงฟังกูนะ กูแนะนำในฐานะที่กูเป็นเพื่อนมึงและในฐานะที่กูเป็นเด็กขายมาก่อน คนอย่างคุณสเตฟานถ้าเขาอยากได้ เขาก็หาทางเอามึงจนได้นั่นแหละ แล้วในเมื่อไหนๆ มึงก็กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว ทำไมมึงไม่ใช้โอกาสนี้กอบโกยซะเลย มึงอยากได้อะไร อยากได้เท่าไหร่ มึงก็เรียกเขาไปเลยเอาให้คุ้ม เพราะถึงยังไงคุณสเตฟานก็ยอมจ่ายให้มึงอยู่แล้ว พอเขาได้มึงครั้งสองครั้งเดี๋ยวเขาก็เบื่อแล้วเดี๋ยวเขาก็เลิกยุ่งกับมึงเองนั่นแหละเหมือนที่เขาก็เบื่อเด็กคนอื่นๆ ออกบ่อยไปมึงก็เห็นอยู่”
คำพูดของไอ้เพียววิ่งวนอยู่ในหัวของผมไม่ยอมหยุด แต่มันก็มีส่วนถูกเพราะผมเห็นคนที่เคยนอนกับคุณสเตฟานส่วนใหญ่ก็ถูกเรียกไปแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น มีเพียงพี่แม็กซ์กับไอ้เพียวสองคนเท่านั้นที่ยังเหนียวแน่นและถูกเรียกหาให้เป็นคนคอยดูแลเทคแคร์ คุณสเตฟานทุกครั้งไป
ผมออกมายืนดักรอพบเจ้าของรถคันเมื่อคืนตรงลานจอดรถลูกค้าวีไอพี เกือบสี่ทุ่มรถยนต์หรูสีดำคันใหญ่แล่นมาจอดตรงที่ประจำของมันตามมาด้วยหนุ่มฝรั่งร่างสูงเดินลงมาจากรถ สายตาคมจับจ้องมายังผมซึ่งยืนกระสับกระส่ายแล้วสาวเท้าก้าวเข้ามาหาในทันที
“เอ่อ คุณสเตฟานคือว่าผม...” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคุณสเตฟานสายตามองแวบเฉียดไปเห็นรอยแผลตรงมุมปากเล็กๆ แล้วรู้สึกเสียวต้นคอวูบๆ
“มาดักรอฉันแบบนี้ต้องการอะไร หรือว่าอยากจะกัดฉันอีกอย่างนั้นเหรอ”
“เอ่อ เรื่องเมื่อวานขอโทษครับ ผม...แค่ตกใจ” ผมชี้นิ้วไปตรงรอยแผลมุมปากแล้วเอ่ยขอโทษคนที่ขโมยจูบผมไปเมื่อคืน
“จูบฉันมันห่วยขนาดนั้นเชียว”
“คุณสเตฟานครับเมื่อคืนโทรศัพท์ของผม...ไอ้เพียวบอกว่าคุณเก็บเอาไว้อย่างนั้นเหรอครับ” ผมเลี้ยงไม่ตอบเพราะไม่อยากพูดถึงจูบนั้นอีกแล้วและเปลี่ยนมาตั้งคำถามถึงสิ่งที่ผมตั้งใจมายืนรอเจ้าของรถที่ไปส่งผมเมื่อคืนแทน
“โทรศัพท์มือถือของเธอ เครื่องนี้น่ะเหรอ” คุณสเตฟานล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบโทรศัพท์เครื่องคุ้นตาขึ้นมาชูค้างไว้ตรงหน้าผม
“ใช่ครับ” ผมพยักหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปเพื่อต้องการหยิบมันคืนมาจากหนุ่มฝรั่งแต่ถูกอีกฝ่ายขยับมือหนี
“แลกกับอะไรดี” คุณสเตฟานหย่อนโทรศัพท์ของผมกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม
“แลกเหรอครับ?”
“ใช่ เธอจะเอาอะไรมาแลกล่ะ” คุณสเตฟานยกปลายนิ้วชี้ขึ้นมาแตะลงตรงริมฝีปากซึ่งมีรอยแผลเล็กๆ
“ถ้าคุณอยากให้ผมขอโทษ...”
“ฉันไม่ต้องการคำขอโทษจากเธอ”
คนตัวสูงขยับสาวเท้าก้าวมาด้านหน้าจนผมต้องก้าวเท้าถอยหลัง แต่ติดตรงผู้ชายชุดดำสองคนที่ยืนเป็นกำแพงขวางผมเอาไว้จนไม่เหลือทางให้ผมหนี
“แต่ว่าผม....” พูดของผมถูกริมฝีปากหนากลืนหายเข้าไปจนเหลือไว้เพียงเสียงร้องอู้อี้ซึ่งไม่มีความหมาย ท่อนแขนแข็งแรงอัดอยู่ด้วยกล้ามเนื้อของคนหนุ่มโอบรัดรั้งเอวผมแนบชิดติดไปกับหน้าขา กว่าผมจะถูกปล่อยให้มีอิสระแล้วกลับมาหายใจด้วยตัวเองได้ก็นานหลายนาที
“จูบนี่ฉันรับมันแทนคำขอโทษเรื่องที่เธอกัดฉันเมื่อคืน แล้วก็ถือเป็นค่าตอบแทนที่ฉันเก็บโทรศัพท์ของเธอเอาไว้ให้แล้วกัน” คุณสเตฟานก้มลงมามองหน้าพร้อมกับยิ้มเยาะผมอย่างผู้ชนะ
ผมก้มหน้าแล้วรีบล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงของ คุณสเตฟานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วหันหลังผลักอก บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนขวางอยู่แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านตามเดิม
“มึงมานี่...” คอเสื้อของผมถูกฝ่ามือของใครคนหนึ่งคว้าแล้วลากผมมาโยนทิ้งลงบนพื้นในห้องเก็บของเล็กๆ หลังร้าน
“พี่แม็กซ์”
“กูเคยเตือนมึงแล้วใช่มั้ย ว่าอย่ามาอ่อยคุณสเตฟาน”
“ผมเปล่านะ...ผมแค่ไปเอาโทรศัพท์ของผมคืน” ผมลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปยืนชิดจนติดมุมห้อง
“แล้วที่ยืนดูดปากกันกลางลานจอดรถเมื่อกี้คืออะไร มึงจะเอาโทรศัพท์หรือมึงจะเอา...อะไรกันแน่” พี่แม็กซ์ตรงเข้ามายกมือขึ้นบีบกรอบหน้าของผมจนกระดูกขากรรไกรปวดไปหมด
“ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้จะเอา...” ผมยกมือขึ้นมาพยายามแกะนิ้วแข็งๆ ของพี่แม็กซ์ออกจากกรามของผม
“กูจะเตือนมึงเป็นครั้งสุดท้ายไอ้แก๊ป อย่าเสือกมายุ่งกับคุณสเตฟานอีก ถ้ากูเห็นมึงเฉียดเข้าใกล้คุณสเตฟานอีกมึงเจ็บตัวแน่” พี่แม็กซ์กระแทกอัดผมเข้าไปกับผนังห้องเก็บของก่อนจะเดินออกไป ทิ้งผมไว้กับความอึดอัด
“พอเขาได้มึงแล้วเดี๋ยวเขาก็เลิกยุ่งกับมึงเองแหละ...”
คำพูดของไอ้เพียววิ่งเข้ามาสะกิดความรู้สึกของผมอีกครั้ง ถ้าหากสิ่งที่ไอ้เพียวพูดเป็นจริงล่ะ หรือผมควรจะทำตามสิ่งที่ไอ้เพียวแนะนำ
ผมเดินออกมาด้านข้างร้านเพราะไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน เรื่องวุ่นวายต่างๆ วิ่งวนในหัวผมไม่ยอมหยุด ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดเปิดเข้าไปอ่านข้อความของน้องสาวที่ส่งมาหาผมเมื่อคืนแต่มันขึ้นสถานะว่ามีการเปิดอ่านไปแล้ว! และที่สำคัญไปกว่านั้นผมยังไม่เคยอ่านมันเสียหน่อย
“เดี๋ยวพี่โอนเงินให้”
โอนเงินค่าอะไร?...
ผมไล่อ่านข้อความที่น้องสาวส่งมาให้ซึ่งบอกถึงรายจ่ายจิปาถะทั้งค่าเทอม ค่าเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของน้องๆ ทั้งสี่คนที่กำลังจะเปิดเทอมใหม่ในอีกไม่ช้า รวมรายจ่ายทั้งหมดเป็นจำนวนเงินหลักหมื่นอีกเหมือนเดิม ความคิดของผมวิ่งวนเป็นวงกลมกลับไปกลับมาอยู่แต่เรื่องเดิมคือ เงิน เงิน เงิน
ผมเดินกลับเข้าไปภายในร้านแล้วบังเอิญเจอกับบอดี้การ์ดคนหนึ่งของคุณสเตฟานตรงบันไดทางขึ้นไปชั้นสองพอดี ความคิดวูบหนึ่งดึงเท้าของผมให้เดินตรงไปหาบอดี้การ์ดหน้าดุคนนั้น
“เอ่อ...ผมอยากคุยกับคุณสเตฟานครับ”
“คุยกับคุณสเตฟาน...เรื่องอะไร” บอดี้การ์ดชุดดำถามผมกลับมาเสียงแข็ง
“เรื่องเอ่อ...มันเป็นเรื่องของผมกับคุณสเตฟาน แค่พี่ไปบอกเขาว่าผมมีเรื่องจะคุยด้วย...เอ่อ...ผมยืนรอตรงนี้นะครับ” ผมเดินไปยืนแอบอยู่ข้างรูปหล่อทองเหลืองผู้ชายเปลือยกายขนาดใหญ่กว่าตัวผม บอดี้การ์ดคนนั้นหรี่ตาลงมามองผมเหมือนไม่ค่อยวางใจแต่ก็เดินหายขึ้นไปบนบันไดทางขึ้นไปโซนห้องแดง เพียงแค่ไม่กี่นาทีผู้ชายที่ผมต้องการเจรจาด้วยก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโดยมีบอดี้การ์ดสองคนอยู่ประกบอยู่ด้านหลัง
“หวังว่าเรื่องที่เธอต้องการจะคุยกับฉันมันจะสำคัญพอนะเพราะถ้าไม่อย่างนั้นฉัน...”
“คุณอยากนอนกับผมหรือเปล่า?” ผมขยับปากเปล่งเสียงสะท้อนที่มันดังก้องอยู่ภายในหัวของผมออกมาโดยไม่ได้ลังเลเลยสักนิด
“อะไรนะ”
“คืนนี้....คุณอยากนอนกับผมหรือเปล่าครับ?”
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.