ตอนที่ 1 ห้องแดง
“ไอ้เพียว การ์ดชุดใหม่เหรอ” ผมร้องถามพร้อมกับเดินไปสะกิดหลังเพื่อน
วันนี้พวกเรากลับมาทำงานตามปกติได้อีกครั้งหลังจากร้านปิดปรับปรุงไปนานเพราะมีการเปลี่ยนเจ้าของใหม่ บาร์โฮสต์แห่งนี้เป็นบาร์พิเศษสำหรับลูกค้าซึ่งมีรสนิยมเฉพาะหรือที่คนภายนอกส่วนใหญ่มักเรียกกันจนติดปากว่า “บาร์เกย์” ซึ่งนั่นก็แล้วแต่ความคิดและมุมมองของแต่ละคนว่าจะมองหรือจะเรียกที่ทำงานของผมเป็นแบบไหน
บาร์แห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นตึกสูงขนาดสี่ชั้น มีลูกค้ามาใช้บริการคืนหนึ่งจำนวนมากและแต่ละคนล้วนกระเป๋าหนัก ผมเป็นเด็กนั่งดริ๊งกึ่งพริตตี้บอยในบาร์โฮสต์แห่งนี้ อาจจะมีขึ้นไปโชว์บนเวทีบ้างบางครั้งหากเงินขาดมือจริงๆ
เมื่อเดือนก่อนบาร์แห่งนี้ถูกขายกิจการต่อเปลี่ยนมือจากเจ้าของเดิมมาเป็นเจ้าของใหม่ชื่อคุณ “โอลิเวอร์” แต่พนักงานในร้านส่วนใหญ่ไม่ได้ลาออกหนีหายไปไหน ยังคงสมัครใจอยู่ทำงานต่อเพราะแต่ละคนล้วนมีลูกค้าประจำแล้ว อีกทั้งการทำงานที่นี่เงินดีการันตีรายได้ ซึ่งมันมากพอที่จะช่วยให้ผมสามารถมีเงินส่งกลับไปช่วยเหลือครอบครัวและส่งเสียน้องๆ อีกสี่คนให้ได้เรียนหนังสือโดยไม่ต้องลำบาก
“อืม การ์ดชุดใหม่หล่อว่ะ”
ไอ้เพียว เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี แถมยังมีดีกรีเป็นนักศึกษาปีสองในรั้วมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ซึ่งมันสามารถเอาไว้ใช้เรียกแขกแถมยังอัพค่าตัวได้อีก ไอ้เพียวเป็นเพื่อนพนักงานซึ่งผมสนิทที่สุดเพราะอายุไล่เลี่ยกันหากผมไม่ต้องมาทำงานเพื่อหาเงินตอนนี้ผมคงเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสองเหมือนไอ้เพียว ต่างกันตรงที่ผมเป็นแค่พริตตี้บอยคอยนั่งดริ๊งเชียร์แขก แต่ไอ้เพียวรับงานขายแถมมันยังโชคดีมีเสี่ยซื้อคอนโดให้อยู่อย่างสบาย
“กูก็เห็นมึงบอกว่าหล่อทุกคน”
“เออน่า...ยังไงก็เจริญหูเจริญตาขึ้นบ้างล่ะวะ แล้วนี่มึงเห็นเจ้าของใหม่หรือยัง หล่อเหี้ยๆ คุณโอลิเวอร์ นู้นนนน...ยืนหล่ออยู่นั่น” ไอ้เพียวเอาตัวมากระแทกพร้อมกับใช้ปากบุ้ยไปทางหนุ่มฝรั่งอายุน่าจะราวๆ สามสิบกว่า รูปร่างสูงโปร่ง หน้าคม นัยน์ตาดุ ที่สำคัญ มีรอยสักพราวไปทั้งตัวตั้งแต่แขนจนถึงคอหอย
“น่ากลัวจะตายห่า มึงเอาตรงไหนมาหล่อ” ผมกระซิบบอกมันเพราะส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยถูกกับลวดลายรอยสักศิลปะ บนผิวหนังของมนุษย์เท่าไหร่ ผมชอบให้มันสะอาดเรียบโล่งเสียมากกว่า
“กร้าวใจจะตาย ยิ่งกูเห็นบางคนนะมึงสักใต้สะดือเซ็กซี่ ฉิบหายพอเห็นปุ๊บของขึ้นปั๊บเลยนะมึง” ไอ้เพียวทำท่าทางชวนฝันทำตาหวาน ยกไม้ยกมือทำท่าทางประกอบคำว่า “ของขึ้น” ไปด้วย
“มึงขึ้นของมึงไปคนเดียวเถอะ กูไม่ขึ้นไปกับมึงหรอก” ผมเอียงตัวไปกระแทกมันคืนบ้าง
วันนี้พนักงานทุกคนถูกเรียกให้มารวมตัวกันก่อนเวลา คุณโอลิเวอร์ เจ้าของใหม่ชี้แจงให้พวกเราฟังถึงกฎกติกาในการทำงานซึ่งยังคงคล้ายกับเมื่อครั้งเจ้าของเดิมเคยตั้งเอาไว้ หลังจากทุกคนเข้าใจแล้วจึงแยกย้ายไปทำงานตามหน้าที่เหมือนเดิม
ผมกับไอ้เพียวแยกกันตั้งแต่ห้องแต่งตัวเพราะเด็กขายจะขึ้นไปดูแลลูกค้าวีไอพีบนชั้นสอง ซึ่งพื้นที่ส่วนนั้นพวกเราทุกคนเรียกมันว่า “ห้องแดง” มันถูกดัดแปลงขึ้นมาใหม่เป็นห้องวีไอพีสำหรับลูกค้าพิเศษซึ่งมีเพียงเด็กขายเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปได้
คืนนี้ผมได้ลูกค้าเป็นหนุ่มนายธนาคารร่างท้วม ซึ่งเรียกผมเข้าไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนพร้อมกับพร่ำเพ้อถึงแฟนหนุ่มซึ่งทอดทิ้งไป หน้าที่เด็กนั่งดริ๊งอย่างผมคือรับฟังแล้วชวนพูดคุยให้ลูกค้าคลายจากความเศร้าโศก พร้อมกับเชียร์อัพเอนเตอร์เทนให้ลูกค้ามีความสุขหรือแนะนำให้ลูกค้าสั่งเครื่องดื่มหรือบริการอื่นๆ เพิ่มเพราะยิ่งเชียร์ให้ลูกค้าสั่งเครื่องดื่มยิ่งแพงหรือยิ่งมากรายได้ ของเด็กดริ๊งอย่างผมก็จะได้ส่วนแบ่งมากตามไปด้วย
ส่วนตัวผมเองยอมรับว่าความสามารถในการโน้มน้าวใจลูกค้าให้ซื้อดริ๊งเพิ่มหรือยุยงให้ลูกค้าเลือกเครื่องดื่มแพงๆ นั้นเรียกว่าเกือบจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพราะผมพูดไม่ค่อยเก่ง แถมยัง ขี้เกรงใจอีกด้วย
“คืนนี้เลิกงานแล้วน้องแก๊ปกลับบ้านยังไงให้พี่ไปส่งมั้ย” พ่อหนุ่มนักการเงินเอียงปากมาหาผมทำท่าเหมือนอยากจะจูบปากกับผมให้ได้
“ขอบคุณครับแต่ผม...มีแฟนมารับแล้ว”
เป็นคำโกหกที่ผมต้องหยิบยกขึ้นมาอ้างทุกๆ ครั้งเวลามีลูกค้าทำท่าจะข้ามเขตความเป็นเด็กนั่งดริ๊งของผม ซึ่งประโยคนี้มันช่วยให้ผมเอาตัวรอดมาได้ตลอดตั้งแต่ผมทำงานอยู่ที่นี่
“อ่าว นี่น้องแก๊ปมีแฟนแล้วเหรอครับ”
“เอ่อ...ครับ”
“มีแฟนแล้วมาทำงานแบบนี้แฟนไม่หวงแย่เหรอ ถ้าน้องแก๊ปเป็นแฟนพี่...รับรองเลยว่าพี่จะให้นั่งกิน นอนกินอยู่บ้านเฉยๆ”
มันเป็นประโยคเดิมซ้ำๆ ที่พวกผมได้ฟังบ่อยครั้งจนชินหู อันที่จริงรุ่นพี่หลายคนซึ่งทำงานที่นี่ต่างล้วนมีแฟน มีคนรักหรือบางคนถึงขึ้นมีลูกมีเมียกันแล้วทั้งนั้น แต่เหตุผลของคนจนที่ต้องทำงานหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของคนในครอบครัวมีตัวเลือกสำหรับพวกเราไม่มากนักในการทำงานหาเงินที่ใช้เวลาน้อยแต่รายได้มาก
หากคู่ไหนสามารถยอมรับกติกาการทำงานของพวกเราได้ก็อยู่กันรอด แต่ถ้าหากขี้หึง ขี้หวงก็มีทางเลือกแค่เปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนแฟนเท่านั้นเอง
ผมเดินกลับมายังห้องแต่งตัวสำหรับพนักงานหลังจากออกไปส่งลูกค้าขึ้นรถแล้ว ทางเดินสลัวๆ เพราะแสงไฟอันน้อยนิดประกอบกับความคิดในหัวของผมซึ่งมันกำลังล่องลอยไปไกลถึงเตียงนอนนุ่มๆ เพราะความเหนื่อยล้าอยากรีบกลับไปนอนพัก ทำให้ผมไม่ทันระวังจนพลั้งเดินไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า
“ขอโทษครับ” ผมรีบเอ่ยปากขอโทษคนที่ผมชนเข้าด้วยความไม่ตั้งใจทันที
“ฮึ...ไม่เจอกันนานนะแก๊ป” เสียงทุ้มห้าวเจ้าของร่างหนาเอ่ยทักทายออกมาจนผมสะดุ้ง
ในบรรดาลูกค้าทั้งหมดที่ผมเจอมา ผู้ชายคนนี้น่ากลัวที่สุดและเป็นคนเดียวที่ผมไม่อยากเข้าใกล้ คงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ผมอคตินิดหน่อยกับคนมีรอยสัก
หากสักแค่เพียงเล็กน้อยพองามผมก็พอเข้าใจแต่สำหรับผู้ชายฝรั่งตัวโตคนนี้รอยสักแปลกๆ หน้าตาประหลาดลายพร้อยตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงก้านคอ แล้วผมเคยได้ยินไอ้เพียวเล่าให้ฟังว่าแม้แต่ในร่มผ้าลับตาคุณสเตฟานก็สักจนแทบไม่มีพื้นที่เหลือ
“คุณสเตฟาน”
คุณสเตฟาน เป็นเพื่อนของอดีตเจ้าของร้านและเป็นลูกค้าคนสำคัญอันดับต้นๆ ของบาร์แห่งนี้เด็กขายทุกคนล้วนเคยผ่านมือ ผ่านอารมณ์เร่าร้อนรุนแรงของผู้ชายคนนี้มาแล้วทั้งสิ้นแม้แต่ ไอ้เพียวเพื่อนของผม
ผมเคยเป็นหนึ่งในพนักงานที่คุณสเตฟานหยิบยื่นข้อเสนอจ่ายเงินก้อนโตให้เหมือนคนอื่นๆ ตั้งแต่สมัยผมมาทำงานแรกๆ แต่ครั้งนั้นผมบอกปฏิเสธไปเพราะผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้อง รับงานขาย ในเมื่อรายได้จากการนั่งดริ๊งเชียร์แขกแบบนี้มันก็เพียงพอกับรายจ่ายของผมแล้ว
“ตอนนี้บาร์เปลี่ยนเจ้าของใหม่....ฉันคิดว่าจะเจอเธอในห้องแดงเสียอีก” หนุ่มฝรั่งตัวโตสาวเท้าก้าวขยับเข้ามาหาบีบให้ผมต้องก้าวถอยจนแผ่นหลังแนบติดไปกับผนังโถงทางเดินแคบๆ
“คุณสเตฟาน มาทำอะไรแถวนี้ครับ นี่มันส่วนของพนักงาน” ผมก้มหน้าลงไม่อยากสบตาดุคู่นั้น ยิ่งในช่วงที่คุณสเตฟานดูเหมือนจะดื่มไปมากเพราะผมได้กลิ่นเหล้าเคล้ากลิ่นบุหรี่ผสมปนเปเป่ารดลงมากับลมหายใจอุ่นๆ
“ฉันก็มา....”
“คุณสเตฟานครับ เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”
พี่แม็กซ์ ดาวเด่นเบอร์หนึ่งของบาร์แห่งนี้เดินออกมาจากห้องแต่งตัว เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเป็นชุดลำลองเหมือนเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก ผมจึงพอเดาได้ว่าคืนนี้พี่แม็กซ์คงเป็นผู้โชคดีที่จะได้รับเงินก้อนโตจากการไปบริการคุณสเตฟานนอกสถานที่
“อืม....” ผมได้ยินเสียงคุณสเตฟานตอบรับพี่แม็กซ์ในลำคอ แต่เจ้าของร่างหนายังไม่ยอมก้าวขยับห่างออกไปจากด้านหน้าของผมเสียที
“แก๊ป...อยากไปสนุกด้วยกันมั้ย” สายตาคมหรี่ต่ำลงมามองผมพร้อมคำถาม ผมสะบัดหางตาเหลือบไปมองพี่แม็กซ์ซึ่งยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ และผมมั่นใจว่าพี่แม็กซ์ได้ยินประโยคเชิญชวนของคุณสเตฟานเมื่อครู่
“ไม่ครับ”
ผมปฏิเสธลูกค้าวีไอพีของบาร์ก่อนจะทิ้งตัวลงก้มลอดใต้ วงแขนของคนตัวสูง ซึ่งยืนค้ำขังผมเอาไว้ติดกับผนัง นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้ที่คุณสเตฟานชวนผมออกไปข้างนอกและผมเองก็ยังคงตอบปฏิเสธเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนและผมคาดหวังเหลือเกินว่าคุณสเตฟานจะถอดใจแล้วล้มเลิกความคิดนี้ไปเสียที
“มึงหนีอะไรมาวะไอ้แก๊ป” ผมวิ่งเข้ามาเจอกับไอ้เพียวซึ่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ภายในห้องแต่งตัวพอดี
“อ่อ...เปล่าไม่ได้หนี แล้วนี่มึงไม่ออกไปกับแขกเหรอ” ผมถามไอ้เพียวด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วเด็กในห้องแดงของที่นี่ไม่เคยมีใครกลับบ้านคนเดียว ร้อยทั้งร้อยจะมีแขกรับออกไปต่อข้างนอกแล้วจบลงในโรงแรมหรือบนเตียงทั้งนั้น
“ก็กำลังจะไปเนี่ยแหละ เออแล้วมึงเดินมาเจอพี่แม็กซ์ปะ”
“มึงไปกับพี่แม็กซ์เหรอ” ผมหันไปมองหน้าไอ้เพียวแล้วกลืนน้ำลายลงคอแบบฝืดๆ ทันที
“อืม คืนนี้กู...ซ้อนสามตำรวจไม่กล้าจับ มึงอยากไปด้วยกันปะล่ะถ้ามึงไปด้วยจากสามก็จะกลายเป็นสี่ ถ้ามึงไปรับรองว่ากู จะดูแลมึงอย่างดีเลย”
ซ้อนสาม ซ้อนสี่ ของไอ้เพียวผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไรและผมรู้สึกว่าเพื่อนผมคนนี้มันจะชื่นชอบการซ้อนแบบนี้เป็นพิเศษ ไอ้เพียวเดินเข้ามาแล้วยกมือเชยคางผมขึ้นไปหาอย่างล้อๆ มันรู้ว่าผมไม่มีทางไปกับมัน ยิ่งกับพี่แม็กซ์ด้วยแล้วตั้งแต่มาทำงานที่นี่ผมแทบไม่เคยคุยกับดาวบาร์เบอร์หนึ่งคนนี้เลย ไม่รู้ว่าทำไมพอผมสบตาพี่แม็กซ์ทีไรผมรู้สึกหนาวๆ ต้นคอยังไงชอบกล ยิ่งสายตาพี่แม็กซ์เวลามองมา ผมรับรู้ตลอดว่ามีบางอย่างแอบซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น
“มึงไปเถอะ”
“มึงไม่อยากไปลองซ้อนสี่กับพวกกูดูบ้างเหรอสนุกนะ รับรองว่ากูจะประกบคู่ดูแลมึงเอง” ไอ้เพียวเดินมายืนกอดคอซ้อนด้านหลังแล้วเด้งเป้ามาชนบั้นท้ายผมจนตัวเซ
“มึงจะไปซ้อนกับใครก็ไปเลยไป ขืนมัวชักช้าระวังมึงจะได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์วินกลับห้องแทน”
ผมดันแผ่นหลังเพื่อนให้ออกไปจากห้อง แล้วยืนมองแผ่นหลังของมันวิ่งกระดี๊กระด๊าออกไปจนลับสายตา ผมจึงหันกลับมาเปลี่ยนถอดเอากางเกงขาสั้นสีขาวรัดจนเป้าตึงออกก่อนจะโยนมันลงไปกองไว้ในตะกร้าผ้าใบใหญ่เพื่อรอให้พนักงานทำความสะอาดของร้านเก็บมันไปส่งซัก
“ยังไม่กลับเหรอแก๊ป” เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากประตูทางเข้าห้องแต่งตัว
“คุณโอลิเวอร์...ผมเอ่อ...กำลังจะกลับแล้วครับ” ผมรีบคว้าเสื้อยืดมาปิดเป้าตัวเองเอาไว้เพราะเวลานี้ทั้งเนื้อทั้งตัว ผมเหลือแค่กางเกงในตัวเดียวยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าของบาร์หนุ่ม
“ได้ยินมาว่าเธอทำงานที่นี่มาเป็นปีแล้วใช่มั้ย”
“ครับปีกว่าแล้ว” ผมพยักหน้ารับช้าๆ
“ทำมาปีกว่าก็นานพอสมควร เธอไม่อยากเพิ่มรายได้ ลองย้ายไปห้องแดงบ้างเหรอ” คุณโอลิเวอร์ก้าวเข้ามาในห้องหมุนตัวแล้วมองสำรวจห้องนี้อย่างช้าๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“เอ่อ...ผม”
“เธอทำงานนั่งดริ๊งเชียร์แขก รายได้คืนหนึ่งมันก็ไม่ได้มาก เธอเองก็รู้ แต่ถ้าเธอไปห้องแดงเธออาจจะได้...”
“ไม่ครับเท่านี้ก็พอแล้ว ขอบคุณครับ” ผมก้มลงมองต่ำไปยังเก้าอี้แต่งตัวแทนที่จะเงยขึ้นไปสบตาเจ้าของบาร์ ผมรู้ดีว่าผมมันเป็นเด็กดริ๊งปลายแถว เป็นของเหลือบนเวที
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ...แต่ถ้าเธอคิดอยากเปลี่ยนใจไปอยู่ห้องแดงเมื่อไหร่ก็ขึ้นไปหาฉันแล้วกันนะ” คุณโอลิเวอร์ยิ้มบางๆ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างช้าๆ
ผมเดินออกมายืนรอแท็กซี่เพื่อกลับหอพักเหมือนทุกๆ วัน ตอนนี้เลยเที่ยงคืนไปแล้ว บนท้องถนนการจราจรบางตา ผมหันไปทันเห็นรถเก๋งยี่ห้อหรูคันใหญ่กำลังเลี้ยวออกมาจากลานจอดรถหน้าบาร์ชะลอตัวช้าๆ ขับผ่านหน้าผมไป
กระจกรถซึ่งติดฟิล์มจนมืดสนิทถูกลดลงอย่างช้าๆ พร้อมกับใบหน้าคุ้นตาของไอ้เพียวที่มันโผล่มาส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือมาให้ผม แต่สายตาผมมันไม่ได้หยุดมองแค่หน้าไอ้เพียวเพราะด้านหลังนั่นผู้ชายสองคนซึ่งผมรู้จักดีกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงปล้ำจูบกันอย่างดุเดือดโดยไม่แคร์สายตาใคร
เสี้ยววินาทีหนึ่งสายตาคมของฝรั่งตัวโตเหลือบขึ้นมาจากจูบของพี่แม็กซ์พุ่งตรงดิ่งมาทางผมพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ ผมรีบสะบัดหน้าแล้วหันกลับมามองถนนซึ่งมีแท็กซี่สองสีขึ้นป้ายไฟแสดงสถานะว่ารถว่างแล้วแล่นเข้าจอดเทียบตรงหน้าผมพอดี
ภายในห้องเช่าเล็กคับแคบราคาถูก ผมโยนกระเป๋าสะพายใบเล็กลงไปบนเตียงนอนขนาดเพียงสามฟุตครึ่งแล้วเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวผืนเก่าเปลี่ยนถ่ายถอดเสื้อผ้าชุดเดิมซึ่งมีแต่กลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ออกโยนไปใส่ในตะกร้าแล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเป็นกางเกงฟุตบอลกับเสื้อกล้ามตัวโปรด
ห้องเช่าราคาแค่สองพันกว่าบาทไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรูหรา มีเพียงเตียงเหล็กกับตู้เสื้อผ้าใบเก่า ผมล้มตัวลงนอนมองพัดลมเพดานซึ่งแขวนเอาไว้กลางห้องพร้อมกับฟังเสียงเวลามันหมุนเสียงดังแกรกๆ กล่อมผมให้หลับไปพร้อมกับความเหนื่อยล้าเหมือนเช่นทุกคืน
ผมเดินเข้ามาในห้องแต่งตัวของพนักงานเจอเข้ากับไอ้เพียวกำลังนั่งกระดิกขาฮัมเพลงอย่างสบายใจโดยทั้งเนื้อทั้งตัวมันมีแค่กางเกงในตัวเดียว
“มาพอดีเลยมึง กูมีของมาอวดมึงด้วย” ไอ้เพียวเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นโทรศัพท์ในมือมาตรงหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“เครื่องใหม่?” ผมเลิกคิ้วสูงแล้วถามมันเพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนยี่ห้อดังราคาเกือบครึ่งแสนที่ผมไม่เคยคิดอยากได้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาซื้อ
“อืม สวยปะกูเพิ่งไปถอยมาเมื่อเช้านี่เอง” ไอ้เพียวพูดด้วยท่าทางภูมิใจนิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับหน้าจอโทรศัพท์
“อืม สวยดี” ผมพยักหน้าแล้วเดินไปยังตู้ล็อกเกอร์ส่วนตัวยัดกระเป๋าสะพายตัวเองเข้าไปเก็บแล้วเดินไปยังราวแขวนชุดที่ต้องใส่ออกไปทำงานในคืนนี้
“อ่ะ...อันนี้กูซื้อมาฝากมึง” ไอ้เพียวยื่นถุงใบหนึ่งส่งมาให้ผม
“ซื้อฝากกู?”
“เออ ก็ซื้อฝากมึงไง...กูรำคาญเสื้อยืดเก่าๆ สีซีดของมึงเนี่ย นี่ไอ้แก๊ปมึงทำงานเหนื่อยจะตายห่า มึงจะแบ่งเงินเก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัวบ้างที่บ้านมึงคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง เอ้าเอาไปใส่ด้วยล่ะมึงกูอุตส่าห์ยืนเลือกตั้งนาน”
ผมเปิดถุงที่ไอ้เพียวยื่นให้เห็นเป็นเสื้อยืดแบรนด์เนมราคาน่าจะแพงอย่างน้อยก็คงหลักพัน งานของมันเมื่อคืนคงทำเงินให้มันไม่น้อยมันถึงได้ใจดีซื้อของมาฝากผมแบบนี้
“ขอบใจนะมึง”
“อืม...เอาจริงๆ นะไอ้แก๊ป กูว่ามึงขึ้นไปห้องแดงกับกูเถอะ”
“ไม่เป็นไรอ่ะ กูอยู่ข้างล่างก็โอเค กูไม่อยากไปแย่งลูกค้ามึง” ผมยัดถุงที่ไอ้เพียวซื้อของมาให้ใส่เข้าไปในล็อกเกอร์แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองออกเพื่อเปลี่ยนไปใส่ชุดทำงานคืนนี้ซึ่งมันเป็นกางเกงว่ายน้ำฟิตเปรี๊ยะสีแสบตา
“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะจะมาแย่งลูกค้ากู ความสดของมึงอ่ะใช่ แต่ลีลามึงยังห่างกูอีกเยอะ” ไอ้เพียวเดินเอามือมาตีตูดผมก่อนจะไปยืนเอียงหน้า หันซ้ายหันขวาส่องกระจกสำรวจความหล่อตัวมันเอง
“แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าลีลากูไม่ดี”
“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะ จะมาเด็ดเท่ากู หรือว่ามึงเนี่ยนะกล้าเล่นท่ายาก...แค่มองเป้าคนอื่นมึงยังไม่กล้า แล้วมึงจะเอาหน้า ที่ไหนมาเล่นท่าใส่ลีลาบนเตียง” ไอ้เพียวเดินเข้ามาคว้ามือลงต่ำขยำเป้ากางเกงผมก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหมือนมันไม่ได้ ทำบ้าทำบอกับผม
“แก๊ป...โทรศัพท์มึงในล็อกเกอร์ดังตลอดเลยใครโทรมาไม่รู้” เพื่อนพนักงานคนหนึ่งซึ่งเดินสวนออกมาจากห้องแต่งตัวสะกิดบอกผม หลังจากที่ผมเพิ่งส่งลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านไป
ผมรีบเปิดล็อกเกอร์คว้ากระเป๋าสะพายออกมาแล้วหยิบโทรศัพท์มาดูเห็นเป็นเบอร์โทรของน้องสาวโทรเข้ามาหลายสาย จึงรีบโทรกลับไปทันที
ก้อย : พี่แก๊ปคือว่า.... // เสียงน้องสาวคนรองของผมพูดกรอกเสียงตามสายมา สัญชาตญาณความเคยชินผมรู้ได้ในทันทีว่าคงไม่พ้นเรื่องเงินอีกเหมือนเคย
ผม : มีอะไรหรือเปล่า แม่เป็นอะไร
ก้อย : แม่ไม่เป็นอะไร แต่ว่าพ่อ....
ผม : พ่อทำไม พ่อเป็นอะไร
ก้อย : พ่อไม่ได้เป็นอะไรแต่ว่าพ่อ...ให้หนูโทรมาบอกพี่ ว่าพ่อต้องเตรียมเงินไปจ่ายหนี้ให้กองทุนหมู่บ้านก็เลยให้หนูโทรมาขอเงินพี่.... // เสียงน้องสาวของผมแผ่วลงเรื่อยๆ เหมือนกำลังเกรงใจในสิ่งที่กำลังบอกผม
ผม : แต่พี่จำได้ว่าพี่เคยโอนให้พ่อไปแล้วนี่ // ผมทวนความจำตัวเองเมื่อหลายเดือนก่อนผมสะสมเงินเพื่อให้พ่อนำไปใช้คืนหนี้กองทุนในหมู่บ้านครั้งที่พ่อเคยกู้ยืมมาครั้งนั้นก็เป็นจำนวนเงินหลายหมื่นเหมือนกัน
ก้อย : ของพ่อน่ะใช้คืนหมดแล้วแต่ว่า...อันนี้มันของลุง พ่อไปค้ำประกันให้เขาน่ะ // เสียงของน้องสาวดูอึดอัดถึงความจริงที่กำลังบอกผมและมันไม่ใช่แค่น้องสาวของผมที่กำลังอึดอัดผมเองก็เช่นกัน
ผม : แต่พี่เคยบอกพ่อแล้วนี่ว่าอย่าให้พ่อไปเที่ยวเซ็น ค้ำประกันให้ใครอีก
ก้อย : ก็....พ่อเขาเซ็นไปแล้วทำยังไงล่ะพี่แก๊ป // ก้อยน้องสาวของผมส่งเสียงเครือเจือสะอื้นข้ามสายมาหาผม
ผม : เฮ้อ...แล้วรอบนี้เท่าไหร่ล่ะ // ผมถอนหายใจทิ้งตัว ลงเอนหลังไปพิงตู้เหล็กซึ่งเป็นล็อกเกอร์เก็บของ
ก้อย : ห้าหมื่น..
ผม : ห้าหมื่น! ก้อยแล้วพี่จะไปหาจากที่ไหน เงินไม่ใช่น้อยๆ เลยนะครั้งก่อนพี่ยังเก็บตั้งหลายเดือนกว่าจะได้ // ผมร้องทวนจำนวนเงินนั้นด้วยความตกใจ หัวใจผมตกร่วงจากหน้าอกหล่นลงไปบนพื้นพอๆ กับหัวเข่าที่ทรุดฮวบลงไปทันที
ก้อย : พี่แก๊ป.... // ผมได้ยินเสียงน้องสาวร้องไห้ดังลอดเข้ามาแล้วรู้สึกอึดอัดแน่นในอกไปหมด
ผม : เออๆ ไม่ต้องร้องไห้...พี่จะลองหาดูแต่ว่าเงินมันเยอะ พี่ขอเวลาหน่อยแล้วกัน
ผมนั่งอยู่บนพื้นห้องแต่งตัวพยายามเค้นสมองว่าผมจะสามารถหาเงินจำนวนมากถึงครึ่งแสนได้จากไหนในระยะเวลาอันจำกัด ลำพังรายได้ของผมมันไม่ได้มากขนาดนั้นเพราะผมถือว่าตัวเองเป็นเด็กนั่งดริ๊งที่น่าจะถูกเมินมากที่สุดในร้าน ด้วยเพราะผมคุยไม่ค่อยเก่งแถมยังดื่มได้น้อยมากเมื่อเทียบกับรุ่นพี่คนอื่นๆ
อีกทั้งการจ่ายเงินของที่นี่พนักงานอย่างเราไม่ได้รับเงินโดยตรงจากลูกค้า แต่ต้องผ่านกระบวนการหักค่าหัว ค่านายหน้า ค่าเครื่องดื่มทุกครั้งเสมอ แถมมันยังขึ้นอยู่กับการเปย์จากลูกค้าด้วยว่าชื่นชอบพอใจพร้อมจ่ายให้เราแค่ไหน บางคนดื่มกับลูกค้าทั้งคืนแต่ถ้าเจอลูกค้าขี้เหนียวก็ซวยไป
ผมจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละสองครั้ง รอบจ่ายครั้งละสิบห้าวัน แต่ละคนได้รับเงินไม่เท่ากันบางคนได้หลักหมื่น แต่สำหรับบางคนถ้าดื่มเก่งเชียร์เก่งรายได้ก็พุ่งทะลุไปหลักแสน แต่สำหรับผมจะได้แค่ประมาณสองถึงสามหมื่นบาทต่อรอบการจ่ายเงินเท่านั้น
ส่วนเงินทิปจากลูกค้าที่ยัดใส่มือให้แต่ละคืนก็เป็นหลักพันหรือถ้าโชคดีเจอลูกค้าใจป๋าก็อาจจะได้หลายพันหรือหลักหมื่นต่อคืนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับดวง
รายได้ของเด็กดริ๊งต่างจากเด็กขายในห้องแดงที่ได้รับจากลูกค้าโดยตรงอย่างเต็มที่ส่วนร้านจะหักค่าตัวของเด็กที่ถูกพาออกไปตามเรทราคาของแต่ละคน ผมรู้มาว่าไอ้เพียวเพื่อนของผมหากลูกค้าคนไหนต้องการหิ้วมันออกไปข้างนอกต้องจ่ายให้กับทางร้านอย่างต่ำสองหมื่นบาทต่อคืน ส่วนไอ้เพียวจะสามารถล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าลูกค้าได้เท่าไหร่นั่นขึ้นอยู่กับฝีไม้ลายมือและลีลาของตัวมันเอง
“เจอกันอีกแล้วนะ”
“คุณสเตฟาน เข้ามาทำอะไรในนี้ครับ” ผมแหงนคอขึ้นไปมองลูกค้าวีไอพีที่อยู่ๆ ก็เดินเข้ามาภายในห้องแต่งตัวพนักงานอย่างสบายใจ
“บังเอิญผ่านมา ได้ยินว่าเธอจำเป็นต้องใช้เงิน” รอยยิ้มมุมปากนิดเดียวกับดวงตาสีเข้มที่ผมไม่เคยสบายใจเมื่อได้มองก้มลงมาจนชิดแทบจะติดหน้าผม
“เปล่าครับ”
“เปล่าอะไร”
“ก็เปล่า...ผมไม่ได้จำเป็น...ต้องใช้เงิน” ผมก้มหน้าหลบสายตาของคุณสเตฟานเพราะรู้ว่าตัวเองโกหกไม่เก่ง
“ถ้ามีปัญหาเรื่องเงิน...ฉันช่วยเธอได้นะ เธอก็รู้นี่ว่าฉันยินดีจ่าย แค่เธอเสนอมาเท่านั้น” ฝ่ามือหนาอุ่นจนเกือบร้อนวางทาบลงมาข้างแก้มผมก่อนจะลูบคลึงไปมาเบาๆ
“ผมเอ่อ...ไม่เป็นอะไรครับ เอ่อคือ....”
ลูกค้าตัวโตเดินเบียดเข้ามาดันจนผมถอยไปยืนชิดติดกับ ล็อกเกอร์ มุมมองสายตาของผมถูกบีบให้แคบเหลือเพียงแค่แผงอกสีแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์กับลายเส้นหมึกของรอยสักซึ่งมันโผล่ขึ้นมาจากเสื้อเชิ้ตสีเข้ม
“คุณสเตฟานครับ....” เสียงของใครบางคนดังแทรกขึ้นมาช่วยหยุดริมฝีปากหยักที่กำลังก้มลงมาหาผมเรื่อยๆ
ผมเหลือบตาขึ้นมามองข้ามหัวไหล่ของคุณสเตฟาน ไปด้านหลังตรงประตูกระจกหน้าห้อง สายตาดุขวางของพี่แม็กซ์จ้องตอบกลับมาจนผมขนลุกไปหมดทั้งตัว
ผมรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นยันแผงอกร้อนๆ นั้นให้ถอยออกห่างเพราะผมรู้สึกว่าผมกำลังหายใจไม่ออก คุณสเตฟานกดใบหน้าลงมาจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจจากปลายจมูกซึ่งเป่ารดลงมาข้างแก้มผม
“ห้าหมื่น...ถ้าเธอยอมไปกับฉันคืนนี้” คุณสเตฟานเขี่ยปลายจมูกแตะลงมาบนแก้มของผมเบาๆ
“ไม่เอา....ไม่เอาครับ” ผมปฏิเสธพร้อมกับออกแรงผลักแผงอกนั้นให้ถอยห่างออกไปจากตัวอีกครั้ง
“ฮึ...ตามใจ” คุณสเตฟานยกยิ้มแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องแต่งตัวไปทิ้งผมให้ยืนอยู่กับที่โดยมีสายตาแข็งๆ ของพี่แม็กซ์จ้องเหมือนอยากจะพุ่งมาบีบคอผม
“มึงคิดจะทำอะไร”
“ผมเปล่านะ”
“มึงอยาก...มากนักหรือไง ถึงได้ขยันให้ท่าคุณสเตฟาน บ่อยนัก” พี่แม็กซ์เดินมายืนจ้องหน้าผม อากาศรอบตัวเหมือนถูกดูดเอาออกซิเจนทิ้งไปหมดเพราะผมอึดอัดหายใจไม่สะดวกเลย
“ผม....เปล่า”
“ทำไม...หรือว่ามึงไม่อยากเป็นเด็กนั่งดริ๊งแล้วอย่างนั้นเหรอ กูจะบอกอะไรมึงเอาไว้อย่างนะไอ้แก๊ป...คนอย่างมึงไม่เหมาะที่จะเป็นเด็กขาย อย่าแม้แต่จะคิด”
“ผมไม่เคยคิด”
“ดี...อย่าให้กูเห็นมึงในห้องแดงก็แล้วกัน”
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.