แคว้นหลิ่ง
ในรัชศกซือจิ้งปีที่หก ต่อจากปฐมฮ่องเต้หลิ่งไท่จู่ที่สถาปนาก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ มีอายุแค่สิบกว่าปี มีฮ่องเต้เพียงสองพระองค์ตั้งแต่ก่อตั้งมา
ปัจจุบันฮ่องเต้ไท่จงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา
แรกเริ่มเดิมทีในยุคอดีตของราชวงศ์ก่อน อดีตฮ่องเต้ไร้ความสามารถเลอะเลือนลุ่มหลงอิสตรี ไม่สนใจกิจการงานบ้านเมือง ฟังคำประจบประแจงของเหล่าขันทีขุนนางชั่ว กลั่นแกล้งคนดี สนับสนุนคนถ่อย
ราชสำนักมีแต่ความวุ่นวาย เกิดความปั่นป่วนแตกแยก กลายเป็นช่องโหว่ให้พวกเห็นแก่ตัวขายชาติ เปิดทางให้เผ่านอกด่านบุกเข้ามายึดครองทำลาย ทำให้ราษฎรทั่วแคว้นประสบกับความหายนะ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
เพลิงแห่งสงครามลุกลามเผาผลาญตั้งแต่เมืองหลวง จนถึงเมืองทางผ่านทิ้งร่องรอยการเหยียบย้ำทำลายจากเผ่าทูเจวี้ย สร้างความเดือดดาลให้บรรดาผู้มีอำนาจในหัวเมืองต่างๆ พากันลุกฮือ เพราะได้แรงผลักดันจากการสนับสนุนของราษฎรในอาณาเขตตน
จึงชูธงรบโบกสะบัด ประกาศปราบปรามกบฏ ขับไล่พวกป่าเถื่อนออกนอกด่าน กอบกู้เอกราชคืนมา
ทว่า แผ่นดินได้แตกแบ่งแยกออกเป็นหลายแคว้น มิได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันเฉกเช่นในอดีต
แคว้นหลิ่ง มีเมืองหลวงคือลั่วหยาง ตั้งอยู่บนแม่น้ำสองสาย แม่น้ำลั่วเหอและแม่น้ำอี้ แวดล้อมไปด้วยภูเขาแม่น้ำ เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ทางพืชผล ในน้ำมีปลาในนามีข้าวเป็นยุ้งฉางขนาดใหญ่ของแว่นแคว้น
หลังจากความวุ่นวายจากสงครามจบลง ปฐมฮ่องเต้หลิ่งไท่จู่ทรงเห็นใจในความทุกข์ยากของราษฎร ออกนโยบายลดการเก็บภาษี และงดเว้นการเกณฑ์แรงงานสองปี ทำให้ราษฎรได้พอลืมตาอ้าปากได้
เพราะเดิมที ลั่วหยางก็มิใช่ใจกลางของสงครามครั้งนี้ มิใช่เมืองหลวงเดิมของราชวงศ์ในอดีต
มีเสียงร่ำลือเล่าเหตุการณ์เศร้าสลดในครั้งที่ผ่านมาว่า เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ของอดีตราชวงศ์ก่อน ถูกกักขังในตำหนักใหญ่ในวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าและงดงาม ได้สิ้นชีพจากการถูกไฟคลอกไม่มีใครหนีรอดชีวีตออกมาได้
ทั้งยังเล่าต่อไปอีกว่าผู้ที่จุดไฟเผานั้น คาดว่าคืออดีตฮ่องเต้ผู้เลอะเลือนโง่เขลานั่นเอง
ท่ามกลางเปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำ เจือไปด้วยเสียงร้องไห้ระงมด้วยความหวาดกลัว แทรกด้วยเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอย่างคนเสียสติ เสียงตะโกนด่าทอสวรรค์อย่างเกรี้ยวกราด
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งร้องขอชีวิตคร่ำครวญปานจะขาดใจ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องตื่นตระหนกอลหม่านดังทะลุเกือบถึงชั้นฟ้า ความสูญสลายเปรียบดั่งภูผาถล่มแผ่นดินทลาย
เปลวเพลิงสีแดงลุกท่วมไปครึ่งแผ่นฟ้า ควันดำม้วนตัวสูงคล้ายเมฆฝน พายุซัดพัดแรงโหมพัดกระหน่ำมองเห็นได้จากที่ไกล ในท้ายที่สุดเหลือเพียงเถ้าถ่าน เศษซากปรักหักพังไหม้เกรียมทิ้งไว้เพียงรอยอาดูร ความรุ่งเรืองตระการตาในอดีตปิดฉากลงอย่างเศร้าสลดหดหู่ใจ
ปัจจุบันลั่วหยาง ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ไท่จง ภายในเพิ่งสงบจากการปราบปรามกลุ่มกบฏเพียงไม่กี่ปี ภายนอกสงครามการสู้รบกับพวกทูเจวี้ยที่เพิ่งยุติไม่นาน แต่ก็คล้ายจะไม่เรียบง่ายอย่างที่คิด
ส่วนความสัมพันธ์กับแคว้นอื่นที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น ฉากหน้ายังคงปรองดองกันดี อาจเพราะแคว้นหลิ่งฟื้นตัวได้เร็ว ทั้งกองกำลังทหารยังเข้มแข็ง และยังโชคดีที่พบภัยพิบัติธรรมชาติน้อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา
มีแต่เผ่านอกด่านที่สร้างปัญหาปล้นสะดมอยู่เนือง ๆ
ตำหนักคุนหนิง ที่ประทับของฮองเฮา
ปลายเดือนสามฤดูใบไม้ผลิสดใส อากาศยามนี้ทั้งสดชื่นเย็นสบาย มวลผกางามล้วนออกดอกแย้มบาน มู่ตานราชินีแห่งดอกไม้สวยสดงดงามโดดเด่น ส่งกลิ่นหอมฟุ้งยามสายลมพัดรวยริน
อุทยานอันร่มรื่นและสระน้ำอันกว้างใหญ่ ปรากฏศาลาหลังน้อยริมน้ำ หลังคาสีเขียวสลักลายเมฆาคล้อย ตรงหน้าต่างรอบด้านพาดผ้าม่านเนื้อดีสีขาวโปร่งบางเบา ยามแรงลมพัดคล้ายเมฆล่องลอยเคลื่อนคล้อยบนท้องนภา
“เสี่ยวซี เจ้าเตรียมของครบถ้วนหรือยัง พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้วนะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม ใบหน้างดงามหมดจด คิ้วตาทรงเสน่ห์ ผิวพรรณขาวผุดผ่อง เป็นสตรีโฉมงาม
นางแต่งกายในชุดสีแดงเพลิงสดใส ปักลวดลายหงส์สยายปีกอย่างสง่างาม เสียบดอกมู่ตานประดิษฐ์ด้วยอัญมณีล้ำค่าบนมวยผม ทั้งงดงามทั้งเหมือนจริง และปิ่นหงส์ทองคำประณีตส่ายไหว ยามขยับกายเป็นประกายระยิบระยับเมื่อกระทบต้องแสงแดด
ย่อมเป็นฮองเฮาเจ้าของตำหนักใน แห่งแคว้นหลิ่ง
ตั้งแต่ไท่จงฮ่องเต้ครองราชย์มา ไม่เคยรับสนมนางในมาเติมเต็มฝ่ายในเลยแม้แต่คนเดียว พระองค์มีเพียงฮองเฮาเพียงหนึ่งเดียวที่เคียงข้าง ต่อให้มีเสียงภายนอกจะพูดกล่าวถึงฮ่องเต้ ว่าทรงเกรงกลัวฮองเฮาอย่างไร
พระองค์ไม่เคยสนพระทัย ทั้งได้ตรัสในที่ประชุมยามที่มีขุนนางทวงถาม เพื่อหวังจะฝากลูกหลานสตรีในเรือนส่งเข้าเต็มเติมวังหลัง
“เรามีองค์ชายถึงสองคน เลิกใส่ใจเรื่องส่วนตัวของเราได้แล้ว! เอาเวลาไปใส่ใจหน้าที่การงานของตนเองให้ดีเถอะ”
น้ำเสียงจริงจัง รอยแย้มพระสรวลบางปรากฏที่มุมพระโอษฐ์ พระเนตรคมกริบหรี่มองแทบจะแทงทะลุเห็นภายในจิตใจที่ซ่อนไว้ ไล่ดูสีหน้าของเหล่าขุนนางที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการ ยุ่งเกี่ยวชีวิตส่วนตัวของพระองค์ยิ่งนัก
แค่เพียงนี้ก็พอทำให้บรรดาขุนนางจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ตัวสั่นหดคอหายใจติดขัดได้แล้ว
เพราะหลังจากนั้นถือเป็นการเชือดไก่แล้วจริง ๆ ฮ่องเต้ไท่จงกวดขันติดตามงานอย่างเข้มงวดของเหล่าขุนนาง ที่ปล่อยปละละเลยทำค้างทิ้งไว้ อย่างไม่ปล่อยให้หายใจหายคอ
มีทั้งลงโทษตัดเบี้ยหวัด มีทั้งต้องทำงานให้แล้วเสร็จส่งภายในวันนี้ ภายหลังไม่มีใครกล้าหยิบยกขึ้นมากล่าวอีก
แต่มิใช่ว่าจะไม่มีขุนนางใจกล้า ยังมีคนโง่เขลากล้าทูลถามเรื่องนี้ในท้องพระโรง ครั้งนี้ฮ่องเต้ไท่จงได้แต่แย้มสรวลบาง ๆ ไม่ได้ตรัสอันใด ครั้นตกตอนเย็นปรากฏว่า มีหญิงงามห้าสิบนางไปเยือนจวนขุนนางผู้นั้นแล้ว
แต่ขุนนางผู้เฒ่าอายุปาเข้าไปเกือบหกสิบ ถึงกลับกระอักเลือดล้มป่วยไม่สบายจนตามหมอมาให้วุ่น โมโหตนเองจนล้มป่วยกลัวจะตกเป็นขี้ปากชาวราชสำนัก ว่าเป็นตาแก่ตัณหากลับ ถึงขนาดให้ฮ่องเต้พระราชทานหญิงงามอายุคราวบุตรหลานมาให้
เรื่องแบบนี้หาใช่เรื่องดีไม่ ตนอุตส่าห์สร้างสมภาพลักษณ์ดีงาม มีศีลธรรมอันดีมาเนิ่นนานจนใกล้จะเกษียณอายุ ควรจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ในเรื่องดี ๆ มากกว่า หาใช่มีรอยด่างพร้อยให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้
ค่ำคืนนั้นขุนนางเฒ่าหอบสังขารที่ยังไม่หายป่วย ขอเข้าเฝ้าเป็นการเฉพาะอย่างเร่งด่วน บอกเพียงว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย หากช้าไปแม้แต่วันเดียวอาจถึงตายได้!
“ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกลั่นแกล้งกระหม่อมอีกเลย ทรงรีบถอนคืนพระราชโองการรับพวกนางกลับคืนไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไท่จงเลิกพระขนงเล็กน้อย พระหัตถ์ถือพู่กันแต้มหมึกสีแดง คอยวงหนังสือรายงานที่มีปัญหา
“ทำไมหญิงงามที่เราส่งไปให้ไม่ถูกใจเจ้าหรืออย่างไรกัน”
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หญิงงามที่ส่งมาให้ล้วนดีงามไม่มีที่ติ”
“ปัง!”
เสียงปาพู่กันกระแทกพื้นอย่างรุนแรงลงเบื้องหน้าขุนนางเฒ่า จนแตกหักแยกออกเป็นสองส่วน มีบางส่วนกระเด็นไปกระแทกหน้าผาก เกิดบาดแผลมีเลือดไหลหยด “แหมะ ๆ ”
ชายสูงวัยผมขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ ถึงกับตื่นตระหนกหน้าซีด ได้แต่ก้มหน้าตัวสั่นงันงก ไม่กล้าปริปากร้องเจ็บ
“แล้วเหตุใดกัน! ไฉนจะต้องนำมาส่งคืน ตอนคิดจะเติมเต็มวังหลังเรา ก็ไม่เคยมีใครสนใจความคิดของเราเลย พอเราจัดให้ คิดจะมาบอกให้ถอนคำสั่งที่ออกไปง่าย ๆ เลยหรือ เจ้าเป็นใคร ล้อเล่นกับเราแล้ว! ถึงไม่ยอมรับความหวังดีของเรา!”
พระองค์ตำหนิด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ตวาดลั่นบ่งบอกถึงความไม่พอพระทัย
ขุนนางเฒ่าเหงื่อผุดเต็มหน้า ผสมกับบาดแผลยิ่งทำให้ปวดแสบปวดร้อน รอยย่นบนใบหน้ายิ่งยับย่นมากกว่าเดิม แววตาเลิ่กลั่กตกใจไม่รู้ควรทำอย่างไรดี ทั้งเหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้ พยายามแข็งใจกล่าวต่อไปว่า
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ล้วนไม่เป็นความจริง กระหม่อมไม่มีความคิดบังอาจเช่นนั้นแน่ เพียงแต่เรื่องนี้ กระ กระหม่อมไม่มีข้าวปลาอาหารเพียงพอจะชุบเลี้ยงได้”
“อ๋อ! เรื่องแค่นี้เอง งั้นเราประทานให้ครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน ช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง พอใจหรือยัง”
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ ขันทีเดินตัวลีบเข้ามาอย่างรู้ความ ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ขุนนางเฒ่า ทว่า มือเหี่ยวย่นยื่นมารับ กลับหยุดชะงักเพราะยังสงสัยในคำรับสั่งนั้น พลางขมวดคิ้วงุนงง
อะไรขึ้นประทานให้ครึ่งหนึ่ง อะไรคือช่วยแบ่งเบาภาระ
เมื่อทวนถ้อยคำในใจอีกครั้ง แทบจะกรีดร้องอย่างสิ้นหวังออกมา ล้มตึงลงไปกองกับพื้น หอบหายใจพะงาบ ๆ กระทั่งผ้าเช็ดหน้ายังค้างเติ่งในมือขันที
“กระหม่อมมีแต่ความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทเป็นล้นพ้น ทว่าครั้งนี้ได้โปรด ได้โปรดรับพวกนางคืนไปทั้งหมดเถอะ กระหม่อมหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงโหยหวนอย่างคนใกล้ตาย ค่ำคืนมืดมิดเงียบเชียบยิ่ง คล้ายเสียงผีหลอกวิญญาณหลอน
จากนั้นเดือดร้อนเหล่าขันทีองครักษ์รีบวิ่งวุ่น เข้ามาช่วยแบกขุนนางจงรักภักดีผู้นี้ไปโรงหมอหลวง กลัวว่าจะขาดใจตายลงกลางทางเสียก่อน
ฮ่องเต้ไท่จงเห็นใจต่อการแสดงละครของขุนนาง ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยเล่นบทคนใกล้ตาย
ขุนนางเฒ่าพวกนี้ล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ หนังเหนี่ยวตายยากชอบแส่หาเรื่องใส่ตัว เฮอะ! ช่างเถอะ
หากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตรักของพระองค์ ฮ่องเต้ล้วนใส่พระทัยเสมอมา ไม่ยอมให้ผู้ใดล่วงเกินได้ตามอำเภอใจ หากไม่ตายไปข้างก็ต้องคลานกลับไป!
แค่เห็นฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย พระองค์ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนพระทัยยิ่งกว่า ใครอย่าบังอาจกล้ามายุ่งวุ่นวายสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวของพระองค์ต้องสั่นคลอนเป็นอันขาด!
ครั้งนี้เชือดไก่ให้ลิงดูคงไม่มีใครกล้าก่อปัญหาอีก แย้มสรวลเล็กน้อยก่อนจะถอนพระราชโองการกลับคืน ครั้งนี้ เป็นเหตุให้ไม่มีขุนนางคนใด กล้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาทูลถามอีก…
ย้อนกลับมาที่ตำหนักคุนหนิง
“หม่อมฉันจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ”
ดรุณีวัยแรกรุ่นกล่าวตอบด้วยความนอบน้อม หน้าตาเยาว์วัยกระจ่างสดใส ดวงตากลมโตเดิมทีควรสุกสกาวเหมือนดารา หากเวลานี้แฝงความเศร้าไว้อย่างมิอาจปกปิดได้ เหมือนดวงดาวถูกเมฆดำเคลื่อนทับอับแสง
เสี่ยวซี หรือหลิวซี
นางเป็นหมอหลวงประจำพระวรกายฮองเฮา อาศัยอยู่ตำหนักในมาห้าปีแล้ว หลิวซีเพิ่งได้รับคำสั่งจากพระนางให้ไปรับตำแหน่งเป็นหมอทหารที่ชายแดนเหนือ เขตเมืองจินหลิ่ง
เดิมทีหลิวซีเป็นเด็กกำพร้าถูกสำนักในยุทธภพเก็บมาชุบเลี้ยง ทั้งสอนวิชาการต่อสู้ให้ สำนักดังกล่าวรับเฉพาะสตรี ฝึกฝนให้เป็นองครักษ์คอยคุ้มครองสตรีสูงศักดิ์ หรือสตรีร่ำรวยว่าจ้างเพื่อคุ้มกันภัย
วิชาที่สอนมีทั้งบุ๋นเรียนเขียนอ่านตัวอักษร ทางด้านบู๊ฝึกป้องกันจู่โจมลอบฆ่าและหลบหนีเอาตัวรอด
ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต วันนั้นนางยังจดจำได้ดี อาจารย์เรียกพวกนางทั้งหมดสี่สิบคนมาเพื่อคัดเลือกผู้คุ้มกันหญิง คนทั้งหมดต่างยืนเรียงหน้ากระดานสี่แถว ยามนั้นหลิวซีมีอายุเพียงสิบเอ็ดขวบ ท่ามกลางเด็กสาวตั้งแต่อายุสิบถึงสิบเก้า
การคัดเลือกคราวนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะต้องรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด
ผู้มีสิทธิ์คัดเลือกพวกนางต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์ ในขุนนางราชสำนักลำดับขั้นสามขึ้นไป หรือเหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ครั้งนี้ก็เช่นกันอาจารย์บอกแต่เพียงว่า เป็นสตรีสูงศักดิ์มากท่านหนึ่ง
‘สตรีสูงศักดิ์’ ใส่หมวกปีกกว้างมีผ้าปิดคลุมใบหน้า เห็นเพียงเงาเลือนรางภายใต้ผ้าคลุมบางราวปีกจักจั่น สีขาวตัดกับอาภรณ์สีแดงเพลิง เป็นสิ่งเดียวที่มีสีสันโดดเด่นท่ามกลางอาภรณ์สีเทาของสำนัก
ทั้งนี้ ในสำนักยังมีทั้งเด็กสาว สตรี ที่อายุน้อยและมากกว่านั้น แต่ไม่อยู่ไม่เกณฑ์ที่สตรีสูงศักดิ์ท่านนี้ต้องการ
ในความคิดของเด็กวัยสิบเอ็ดขวบ สตรีผู้นั้นเหมือนหงส์ในฝูงนกกระเรียน ดูมีอำนาจกดดันบางอย่างแผ่ออกมา ทำให้ทุกคนไม่อาจเพิกเฉยได้
หลิวซีอดจะจินตนาการถึงใบหน้าเบื้องหลังผ้าคลุมนั้น ควรเป็นใบหน้าเช่นใดกัน ทุกความเคลื่อนไหวอากัปกิริยาท่าทางล้วนสง่างาม แฝงกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่ทุกคนมิใช่ใครเกิดมาจะมีราศีเปี่ยมล้น ด้วยอำนาจบารมีเปล่งประกายออกมาถึงเพียงนี้ได้ สะกดข่มทุกผู้คนในลานได้ทั้งหมด
แม้กระทั่งท่านเจ้าสำนักยังคอยยืนนอบน้อมอยู่ด้านข้าง ทั้งยังดูให้เกียรติเคารพสตรีผู้นี้มาก
Waiting for the first comment……
Please log in to leave a comment.